วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รัตนา สถิตานนท์: ถามเธอ..สักนิด

รัตนา สถิตานนท์: ถามเธอ..สักนิด: ถามเธอ...สักนิด ช่างเติบโตเร็วนักน่ารักล้น                  กลางสายชลเขียวขจีสดสีใส ดอกสีม่วงชวนพิศตรึงติดใจ          ...

ถามเธอ..สักนิด

ถามเธอ...สักนิด






ช่างเติบโตเร็วนักน่ารักล้น                 
กลางสายชลเขียวขจีสดสีใส
ดอกสีม่วงชวนพิศตรึงติดใจ              
ล่องลอยไปตามแต่กระแสธาร
น้ำจะขึ้นหรือลงที่ตรงไหน                 
ลมจะพัดพาไปไม่ต่อต้าน
ไม่สนใจเสียงบ่นคนรำคาญ   
 ยังเบิกบานไปทุกทิศอิสรา


          
ไม่เคยคิดถึงแผ่นดินถิ่นกำเนิด
ที่ก่อเกิดอยู่ไหนไม่ถามหา
จะอยู่ไหนเป็นอย่างไรไม่นำพา         
ผักตบชวาลอยล่องเต็มท้องธาร
จะเติบโตเพียงใดก็ไร้ค่า                       
เป็นปัญหาขัดขวางทางละหาน
ไม่เหมือนไม้ยืนต้นที่ทนทาน             
มีรากฐานยึดหยั่งฝังธรณินทร์





                                     
เยาวชน...
ไยปล่อยตนไปตามกระแสสินธุ์
เป็นสวะลอยไปไร้ชีวิน                  
ไม่ยลยินเสียงทักท้วงความห่วงใย





                                            
เยาวชน...
ถามกมลเธอสักนิดจะได้ไหม
เพราะเธอคืออนาคตของชาติไทย     
เธอหวังจะเติบใหญ่แบบไหนกัน
เหมือนสวะลอยเลื่อนอยู่เกลื่อนกล่น       
หรือหยัดยืนลำต้นให้คงมั่น
ตามกระแสเรื่อยไปไร้ผูกพัน               
หรือยึดมั่นเกียรติศักดิ์รักแผ่นดิน





กำหมัดคือยุติธรรม


กำหมัดคือยุติธรรม...จงจำไว้



วาทะนี้ อยู่ในเรื่อง"วิวาห์พระสมุทร" พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่๖
ที่มาที่ไปก็คือ เจ้าชายอังเดรซึ่งเป็นพระเอกของเรื่อง และเป็นคนรักของเจ้าหญิงอันโดรเมดานั้น เป็นเจ้าชายตกยาก พระราชบิดาดำเนินธุรกิจผิดพลาด  เล่นเอาหมดตัว  ท้าวมิดัสว่าที่พ่อตาก็เลยไม่ปลื้ม


เมื่อไม่มีเงิน  มียศก็น้อยกว่าว่าที่พ่อตา  หนทางที่อังเดรจะได้วิวาห์กับเจ้าหญิงอันโดรเมดาก็คือ ต้องมีอำนาจ  ซึ่งก็ไม่ต่างจากความคิดของคนปัจจุบัน  วาทะของอังเดรที่สะท้อนให้เห็นค่านิยมในตอนนี้  คือ


     ผู้ใดมีอำนาจวาสนา                          ธรรมดาหาอะไรก็หาได้
     กำหมัดคือยุติธรรมจงจำไว้               ใครหมัดใหญ่ได้เปรียบเรียบเชียวเกลอ
    ใครหมัดย่่อมต้องถ่อมกายายอบ        ต้องคอยหมอบคอยกราบราบเทียวเหนอ           
    คอยระแวงแขยงอยู่ละเออ                 มิกล้าเผยอขึ้นตึงตัง
    มีอำนาจวาสนาวาจาสิทธิ์                  พูดสิ่งใดไม่ผิดเพราะฤทธิ์ขลัง
    ถ้าพูดผิดกำหมัดซัดลงปัง                  กลายเป็นพูดถูกจังไปทั้งเพ
    กำหมัดเล็กลูกเด็กก็เถียงได้               จะส่งเสียงเถียงไปไม่ไหวเหว
    ต้องขอยืมหมัดโตไว้โบ๊เบ๊                 เดินโอ้เอ้วางปึ่งจึงจะดี


ด้วยเหตุนี้  เจ้าชายอังเดรก็เลยมองหาอำนาจที่จะมาสนับสนุน  ซึ่งก็ไม่ต้องมองหาไปไกลที่ไหน  เพราะตอนนั้น  อังกฤษกำลังเป็นมหาอำนาจทางทะเล  เที่ยวไล่ล่าเขมือบอาณานิคม  ชนิดที่มีคำกล่าวว่า  ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกในราชอาณาจักรอังกฤษ  เพราะไม่ว่าที่ไหนก็กลายเป็นราชอาณาจักรอังกฤษไปหมด  ตกที่หนึ่ง  อีกที่หนึ่งก็ยังไม่ตก

เมืองอัลฟะเบตาที่ท้าวมิดัสครอบครองอยู่ในเรื่องนี้ป็นเกาะ  ซึ่งเรือรบอังกฤษก็แล่นกร่างไปมาสำแดงอำนาจอยู่  แล้วก็บังเอิ๊ญบังเอิญ  อีตอนที่เจ้าชายอังเดรกำลังมองหาแบ็คอย่างที่ว่า  ก็มีเรือรบอังกฤษลำหนึ่งผ่านมาจอดทอดสมออยู่ใกล้ ๆ เกาะพอดี  เจ้าชายเจ้าเล่ห์ก็เลยถือโอกาส  สมคบกับกุ๊กในเรือ  ให้แสดงเป็นผีทะเลขึ้นมาสร้างความวุ่นวายโกลาหล  แล้วก็สร้างเรื่องราวให้คนเชื่อว่า  เจ้าสมุทรส่งให้มาทวงส่วย


ตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวเมืองนี้  ถ้าเจ้าสมุทรออกอาการหงุดหงิด  ไม่สบอารมณ์  อาจอาละวาดทำให้เกิดเหตุเภทภัย  ประเภทซึนามิขึ้นมาได้  วิธีแก้ไขก็คือต้องเซ่นสรวงบวงพลี  ส่งส่วยให้เจ้าสมุทรพอใจ  ซึ่งส่วยที่ต้องใจเจ้าสมุทรก็คือการส่งเจ้าสาวไปให้  แถมยังมีการล็อคสเป็คไว้ด้วย  ว่าต้องเป็นสาวสวยสุดที่เป็นพรหมจารี  ซึ่งก็หนีไม่พ้นเจ้าหญิงอันโดรเมดา  พิธีวิวาห์ก็คือแห่แหนเจ้าสาวนำไปมัดไว้ที่โขดหินริมทะเลให้พระสมุทรมารับตัวไป  ใครเคยดูหนังเกี่ยวกับเทพนิยายกรีกคงนึกออกถึงเรื่องวีรบุรุษเพอร์ซิอุส โอรสของซูส ที่ฝ่าอันตรายไปตัดหัวนางเมดูซ่า  เพื่อเอามาช่วยนางอันโดรเมดา  เพราะ เรื่ิองนี้ก็เอาเค้ามาจากเรื่องนั้นแหละ



และแล้ว  ฉากต่อไป  เจ้าชายจอมวางแผนก็สมคบกับนายทหารเรืออังกฤษ  ให้มาสำแดงอำนาจว่าเป็นตัวแทนพระสมุทร แล้วก็โมเมชี้ตัวคนที่พระสมุทรเลือกให้แต่งงานกับเจ้าหญิงอันโดรเมดา  ก็คือเจ้าชายอังเดร ตามที่เตี๊ยมกันไว้

ซึ่งแน่ละ  ด้วยความที่อังกฤษกำลังมีอำนาจล้นฟ้าอยู่ตอนนั้น จะชี้เป็นชี้ตาย ชี้มั่วซั่วยังไงก็ไม่ใครกล้าคัดค้าน  เจ้าชายอังเดรซึ่งเป็นพระเอก แม้จะขี้โกง ไปแอบอิงอำนาจกำหมัดใหญ่ของเจ้าสมุทรจอมปลอม ก็เลยได้ดี จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งไปตามระเบียบ

วันนี้ เราก็กำลังได้เห็น "กำหมัดคืิอยุติธรรม"
กำหมัดที่มีอำนาจมากกว่าศาลหรือกฏเกณฑ์กติกาใดๆ
กำหมัดที่กำลังชูหราไปทั่ว  ทุบโครม ๆ  ทำให้สังคมสะท้านสะเทือน  กลับผิดให้เป็นถูก กลับชั่วให้เป็นดี

และก็ไม่มีใครกล้าหือ  เพราะหมัดเล็กกว่า...

ที่น่ากลัวไปกว่านั้น  เพราะไอ้เจ้ากำหมัดใหญ่ที่คุกคามสังคมไทยเราทุกวันนี้ไม่ได้หวังผลแค่ข่มขวัญท้าวมิดัสเล่น ...แต่เอาจริง  หวังจะกลืนทั้งเกาะเลยเชียว

ไม่ต้องรออ่านตอนจบ  ก็เดาได้ว่า  เรื่องนี้ไม่แฮปปี้เอนดิ้งแน่ๆ








วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รากเดียวกัน

บทกวีเจ็ดก้าว



    คนที่รู้จักเรื่องสามก๊ก  ไม่มีใครไม่รู้จักโจโฉ  แต่น้อยคนจะรู้จักโจสิด  เพราะบทบาทของโจสิดมีอยู่นิดเดียว  และก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับสงตรามแย่งชิงความเป็นใหญ่ในสามก๊ก  แต่บทบาทนิดเดียวของโจสิดก็ช่วยให้คนอ่านรู้จักนิสัยแท้จริงของโจโฉได้เด่นชัดมากขึ้น

    โจสิดเป็นน้องชายของโจโฉ  ซึ่งไม่ได้มีนิสัยมักใหญ่ใฝ่สูง  คิดจะแย่งชิงล้มล้างอะไรใคร  แต่ความโดดเด่นของโจสิดอยู่ที่  เขาเป็นกวี  และเป็นกวีมีชื่อเสียงจนเป็นที่ยกย่อง  ซึ่งแน่ละ...ไม่ว่าใครจะยกย่องใคร  ด้วยเรื่องอะไร  โจโฉก็ไม่ปลื้ม  เพราะนิสัยของโจโฉ  ชอบเด่นคนเดียว



    เมื่อเสียงยกย่องความเป็นกวีของโจสิดแว่วมาเข้าหูบ่อย ๆ โจโฉก็เลยเกิดอาการอดรนทนไม่ได้  ถึงกับหาทางกำจัดให้สิ้นเรื่องสิ้นราว  ด้วยการท้าพิสูจน์  ให้โจสิดแต่งกลอนสดให้ได้ภายในเจ็ดก้าว  ถ้าแต่งไม่ได้  ถือว่าว่าไม่แน่จริง  หลอกลวงประชาชน  ต้องลงโทษด้วยการประหาร...ว่าเข้านั่น

   ในเรื่องไม่ได้บอกว่าโจสิด  ก้าวเท้าไหนก่อน  ก้าวช้าหรือก้าวเร็ว  ก้าวละกี่นาที...แต่โจสิดก็แต่งกลอนได้จบภายในเจ็ดก้าว  และที่สำคัญ  เนื้อหาของกลอนบทนั้น  กระแทกใจโจโฉอย่างแรง

   บทกวีเจ็ดก้าวของโจสิด  มีเนื้อหาภาษาจีน  แต่ถ้าจะลองแปลงเป็นบทกวีไทย  ก็คงได้ทำนองว่า

                       เอาเถาถั่วจุดไฟใช้ต้มถั่ว        
               สุกจนทั่วชวนคิดปริศนา
               ต่างร่วมรากเดียวกันผูกพันมา
               ใยเข่นฆ่ามุ่งร้ายทำลายกัน

   กลอนถั่ว ๆ ของโจสิด  ทำเอาโจโฉ  อึ้ง ๆ ๆ  แล้วก็เลยกลายเป็นบทกวีอมตะที่ทำให้ชื่อเสียงของโจสิด  ดังระเบิดระเบ้อมากกว่าเดิมไปอีก

  เรื่องของคนที่เกิดจากรากเดียวกัน  แต่กลับทำลายล้างกันเอง  เหมือนเถาถั่วต้มเมล็ดถั่วให้ใครต่อใครได้กินกันเอร็ดอร่อย  กำลังเป็นภาพที่ย้อนกลับมาให้เราได้เห็นกันทุกวันนี้

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ที่ต่ำ ที่สูง

เกร็ด...รามเกียรติ์


     คนที่ไม่ได้อ่านรามเกียรติ์ตลอดเรื่อง  จะรู้จักทศกัณฐ์แค่ว่า  ทศกัณฐ์เป็นยักษ์ฝ่ายอธรรม  เป็นตัวร้ายบิ๊กเบิ้ม  ที่ใช้ทั้งอิทธิพล  ทั้งเล่ห์เหลี่ยมกลโกงสารพัด  เพื่อจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามให้ได้  แต่ถ้าใครได้อ่านเรื่องราวของทศกัณฐ์ให้ตลอด  จะเห็นว่าทศกัณฐ์ก็เป็นยักษ์มีความคิดอยู่เหมือนกัน  อย่างเช่นตอนที่ทศกัณฐ์ไปทำความดีความชอบ  ช่วยยกเขาไกรลาสที่เอียงกระเท่เร่เพราะถูกยักษ์ขี้โมโหเอาสังวาลฟาด  พระอิศวรประทานพรให้ทศกัณฐ์ขออะไรก็ได้ตามที่ต้องการ  ทศกัณฐ์ก็ไม่เกรงใจ  ขอประทานพระอุมา  มเหสีที่เคารพของพระอิศวรเอาดื้อ ๆ เล่นเอาพระอิศวรพูดไม่ออกบอกไม่ถูก  จำต้องยอมประทานให้ตามที่ขอ

    ครั้นได้ประทานพระอุมามาแล้ว  ทศกัณฐ์ก็ไม่มีปัญญาจะพาพระอุมากลับกรุงลงกา  เพราะแตะตัวพระอุมาเข้าก็ร้อนเหมือนไฟ  ผลที่สุดก็เลยต้องเอาทูนศีรษะเหาะไป  ระหว่างทางก็ยังหนักเสียอีก  ท้ายที่สุดก็ต้องแวะจอดระหว่างทาง  แล้วก็เลยไปเจอกับพระนารายณ์ที่แปลงตัวเป็นยักษ์แก่มารออยู่  ทำทีเป็นปลูกต้นไม้  แต่กลับเอายอดลง  เอารากชี้ฟ้าเสียนี่  ทศกัณฐ์อดรนทนไม่ได้ตามประสาคนร้อนวิชา  ก็เลยถามว่าปลูกต้นไม้ภาษาอะไร  เรียนวิชาการงานอาชีพมาหรือเปล่านี่  หรือที่โรงเรียนไม่มีครูสอนเกษตร ? พระนารายณ์ก็เลยได้ที  ตอบทศกัณฐ์ว่า  ปลูกต้นไม้เอายอดลง  ก็ไม่บ้าไปกว่าคนที่ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ  ไม่เจียมบอดี้


     ตอบแค่นี้  ทศกัณฐ์ก็  โป๊ะเชะ !!! ก็ฉลาดไง...  เลยรู้ว่า  เอาพระอุมาไปก็หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว  แค่จับตัวยังไม่ได้  แล้วจะทำอะไรได้  สู้เอากลับไปแลกเอาคนอื่นมาจะดีกว่า
     แล้วทศกัณฐ์ก็เอาพระอุมากลับไปถวายคืนให้พระอิศวร  ขอนางมณโฑมาแทน

    วัฒนธรรมไทย ๆ มีเรื่อง  ที่สูงที่ต่ำ  มีสำนวนสอนใจ เช่น ตักน้ำใส่กระโหลก  ชะโงกดูเงา  หรือ เต่าเตี้ยอย่าต่อให้ตีนสูง ฯลฯ เป็นสังคมที่เคยมีระบบอาวุโส  เคารพคนที่สูงกว่า  ด้วยชาติวุฒิ  คุณวุฒิ  วัยวุฒิ  ถือว่าอาบน้ำร้อนมาก่อน  มีความรู้  มีประสบการณ์  ที่สร้างสมมามากกว่า


   
     ขนาดทศกัณฐ์ ทิฏฐิมานะออกล้นเหลือ   ยังรู้เลยว่า ต้นไม้ต้องมีรากหยั่งลงดิน  มียอดอยู่ข้างบน  คนไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำนี่  หมดสิทธิ์เรียนเกษตร  หรือจะไปเรียนสถาปัตย์ก็คงไม่รุ่ง  เดี๋ยวสร้างบ้านเอาหลังคาลงดินหมด

     แต่วันนี้  เราได้เห็นคนหลาย ๆ คน ที่เรียนเกษตรก็ไม่เวิร์ค  เรียนสถาปัตย์ก็ไม่รุ่ง  มาเป็นดาวรุ่งดาวโรจน์ด้วยการพยายามดึงยอดให้ต่ำ  ทำรากให้สูง

    โลกมันวิปริตจริง ๆ ดัวย

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สงสาร...ซาตาน



     มีเรื่องเล่าว่า  เมื่อสมัยพระเจ้าสร้างโลก  สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  รวมทั้งสร้างมนุษย์คู่แรก คือ อาดัม กับ อีำฟ  เทวดาทั้งหลายต่างก็ชื่นชม สรรเสริญเยินยอกันยกใหญ่  โดยเฉพาะมนุษย์ที่พระเจ้าสร้างเสร็จแล้ว  เป็นผลงานที่ดูดีมาก ๆ   ทำให้พระเจ้าเกิดความเสียดายหน่อย ๆ ยังไม่เอามาไว้ในโลก  แต่เก็บไว้ดูเล่นในสวนสวรรค์อีเด็นซึ่งเป็นสวรรค์ที่มีทุกอย่างพร้อมพรั่งสมบูรณ์ แต่เพื่อจะลองใจไอ้เจ้ามนุษย์เล่น  ก็เลยตั้งกติกาว่าอาดัมกับอีฟ จะทำอะไร ไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น  แต่ห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับต้นแอปเปิ้ลสุดรัก

   ในตอนนั้น ซาตานก็เป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์  และเป็นเทวดาที่หล่อเริ่ดระดับซุปตาร์...ว่างั้นเหอะ  ครั้นได้ยินแต่เสียงกล่าวขวัญถึงมนุษย์ที่พระเจ้าสร้างก็สุดแสนจะหมั่นไส้  จนอดรนทนไม่ได้  ต้องแปลงกายเป็นงู ไปล่อลวงชักชวนให้อาดัมกับอีฟทำสิ่งที่พระเจ้าห้าม ก็คือขโมยกินแอปเปิ้ล  ซึ่งก็สมเจตนารมย์  แล้วพระเจ้าก็จับได้คาหนังคาเขา  หรือคาปากคาคอก็ไม่รู้ละคือโผล่เข้ามาตอนที่อาดัมกำลังเคี้ยวแอปเปิ้ลพอดี๊พอดี...เล่นเอาอาดัมตกกะใจ กลืนเอื๊อกกลายเป็นลูกกระเดือกติดอยู่ที่คอมนุษย์ผู้ชายทุกวันนี้

    เหตุการณ์ครั้งนั้น  ทำให้พระเจ้าพิโรธโกรธกริ้วถึงกับขับอาดัมกับอีฟลงจากสวรรค์ มาอยู่ในโลกมนุษย์  จนมีลูกมีหลานเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ทุกวันนี้  ส่วนเจ้าซาตานตัวดีก็ตกสวรรค์มาด้วยกันในครั้งนั้น  โดยถูกสาปให้ลงมาล่อลวงมนุษย์ไปเรื่อย ๆ เมื่อใดที่มนุษย์มีศรัทธามั่นคงในพระเจ้า  ไม่หลงไปกับการล่อลวงของซาตาน  จนซาตานไม่รู้จะไปหลอกลวงใคร  นั่นแหละ  ซาตานจึงจะได้กลับไปสวรรค์...

   ก็เลยกลายเป็นเรื่องเศร้าของซาตานไป  เพราะจนทุกวันนี้  ซาตานยังต้องหลอกลวงมนุษย์ไปเรื่อย ๆ และลูกหลานอาดัม กับอีฟ  ก็ตกอยู่ในบ่วงของซาตานมากขึ้น ๆ ๆ  ทำให้ซาตานยิ่งห่างไกลวันที่จะได้กลับสวรรค์ออกไปทุกที

   เพราะซาตานนั้น แท้จริงรูปหล่อ  ร่ำรวย  ชาญฉลาด  และมนุษย์ก็เต็มไปด้วยความโลภและโง่เขลา เห็นความหล่อ สวย รวย หรู แล้วเกิดโรคภูมิต้านทานต่ำวิ่งเข้าใส่ทุกทีไป... ซึ่งว่าที่จริงก็เป็นจุดอ่อนในผลงานของพระเจ้านะ  ถ้าพระเจ้าสร้างให้มนุษย์ไม่โลภ  เรื่องก็จบ  แต่ไม่หนุก...บทบาทของซาตานก็เลยนับวันยิ่งโดดเด่น ก็เพราะมนุษย์ยิ่งนับวัน  ยิ่งโลภไม่บันยะบันยัง



   เรื่องนี้  นักเขียนฝรั่ง เคยเอาไปเขียนเป็นนวนิยาย ชื่อ Sorrow  of  Satan  แล้วนักเขียนไทย  ก็เอาเค้ามาเขียน  เป็นเรื่อง เงา  นั่นแหละ

   ติดตามข่าวสารทุกวันนี้  ก็คงจะพออนุมานได้แล้วละนะว่า  ซาตานก็คงจะยังอยู่คู่กับมนุษย์ไปจนสิ้นโลกน่ะแหละ  จะหนีไปไหนพ้น