วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

น้ำจะท่วมฟ้า


น้ำจะท่วมฟ้า  ปลาจะกินดาว




น้ำท่วมเมื่อปีที่แล้ว  ถึงวันนี้บางคนเพิ่งซ่อมบ้านเสร็จ  บางคนยังไม่ไ้ด้เงินช่วยเหลือ  บางคนได้แล้วแต่ยังไม่อยากซ่อม  รอดูว่าปีนี้น้ำจะมาถล่มอีกไหม
แล้วน้ำก็มาจริง ๆ พร้อมกับเสียงทำนายของนักวิชาการบ้าง  หมอดูบ้าง  ว่ายังไง ๆ มันก็ต้องท่วม  ซ้ำแนวโน้มจะหนักขึ้น ๆ




ทำให้นึกถึงคัมภีร์ื์เก่า ๆ หลายเล่ม  หลายเรื่องที่พยากรณ์เรื่องน้ำจะท่วมฟ้า  ปลาจะกินดาว  ส่วนใหญ่ก็มีความเชื่อเหมือน ๆ กันว่า เมื่อมนุษย์ทำชั่วกันหนักข้อจนเทวดาฟ้าดินรับไม่ได้  ก็จะบันดาลให้เกิดน้ำล้างโลกเพื่อชำระล้างความชั่วให้หมดไป



ส่วนในวรรณคดีไทย มีอยู่เรื่องหนึ่งที่มีความคิดคล้าย ๆ กัน  ก็คือกาพย์พระไชยสุริยา ของสุนทรภู่  ตอนนี้เอามาให้นักเรียน ม.๑ เรียน  ไม่รู้จะได้เรื่องได้ราวอะไรหรือเปล่า  เพราะความจริงเรื่องนี้ต้องให้ผู้ใหญ่เรียน

เรื่องของเรื่องก็คือ  เมืองสาวัตถี  แต่เดิมก็ดี ๆ อยู่  ต่อมาผู้คนทำชั่วกันหนักมือ  อันธพาลครองเมือง  สภาพก็ใกล้เคียงกับบ้านเราตอนนี้  เช่น

พาราสาวะถี            ใครไม่มีปราณีใคร
ดึงดื้อถือแต่ใจ        ที่ใครได้ใส่เอาพอ
ผู้ที่มีฝีมือ                ทำดุดื้อไม่ซื้อขอ
ไล่คว้าผ้าที่คอ        อะไรล่อก็เอาไป

ส่วนข้าราชการทั้งหลายแหล่  พฤติกรรมยิ่งเหมือนผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราตอนนี้ไม่มีผิด  เช่น
ที่แพ้แก้ชนะ            ไม่ถือพระประเวณี
ขี้ฉ้อก็ได้ดี              ไล่ด่าตีมีอาญา
ที่ซื่อถือพระเจ้า      ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา
ผู้เฒ่าเหล่าเมธา     ว่าใบ้บ้าสาระยำ




แล้วในที่สุดเทวดาฟ้าดินก็เลยลงโทษให้เกิดน้ำท่วมใหญ่  พระไชยสุริยากับพระมเหสีลงเรือหนีก็เรือแตก ต้องไปอยุ่ป่า  บวชเป็นฤาษี  ส่วนที่เมืองสาวัตถีเป็นยังไงต่อไปไม่รู้  แต่เดาเอาว่า น้ำล้างหมดแล้วก็คงจะสะอาดดีขึ้น  และคนรุ่นต่อ ๆ มาก็คงช่วยกันทำชั่วต่อไป  จนเทวดาทนไม่ไหว  ก็คงกลับมาล้างอีกรอบ

บ้านเมืองเราก็ใกล้เคียงพาราสาวัตถีเข้าไปทุกที  น้ำท่วมปีที่แล้ว  ทำให้มีข้ออ้างใช้งบประมาณจากเงินภาษีมากมายมหาศาล  ผ่านไปหนึ่งปี   พร้อมกับข่าวเงินงบประมาณตกเรี่ยเสียหายไปเข้ากระเป๋าใครต่อใคร  ได้อานิสงส์จากน้ำกันเป็น กอบเป็นกำ  แต่น้ำก็ยังทำท่าจะท่วมอยู่ดี  ไม่ได้น้อยไปกว่าปีก่อน  แถมยังมีผู้ใหญ่ผู้โตหลายคน  บอกว่าบริเวณที่ท่วมคือบริเวณที่ "ท่วมซ้ำซาก" แปลว่า  ไม่ต้องไปใส่ใจ  มันเคยท่วม  ก็จงท่วมต่อไป  ส่วนงบประมาณมากมาย  จะเอาไปแก้ปัญหาส่วนที่ไม่เคยท่วม???  ฟังแล้วงง  ไหมนี่่


แต่ที่แน่ ๆ บรรดาท่าน ๆ ที่ใช้งบประมาณกันเพลิดเพลินเหล่านี้้  ไม่มีใครคิดถึงเรื่องน้ำท่วมโลก น้ำล้างโลก  เพราะฟังดูมันก็ไร้สาระ  เหมือนเรื่องหลอกเด็ก

ฟ้าดินก็เรื่องหลอกเด็ก  เวรกรรมก็เรื่องหลอกผู้ใหญ่

น้ำจึงยังท่วมต่อไป  เพราะเรามีผู้ใหญ่แสนฉลาดที่ไม่เชื่อเรื่องเวรกรรมมาดูแลบ้านเมือง
ถึงน้ำจะท่วมจนอยู่ไม่ได้จริง ๆ  ท่านก็คงไม่หนีลงเรือไปอยู่เกาะแบบพระไชยสุริยา

มีเงินเสียอย่าง  จะบินไปไหนก็ได้  อยู่ประเทศไหนก็ไม่น่ารังเกียจ











วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ช่างเสื้อมือโปร


ช่างเสื้อมือโปร




ลัทธิเต๋า  กล่าวถึงผู้ปกครองที่ดี  ว่า  ผู้ปกครองที่ดีต้องไม่ทำให้คนที่อยู่ในปกครองรู้สึกหนัก  เหมือนท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลที่อยู่เหนือมนุษย์ทั้งปวง  ทุกคนรู้ว่ามีฟ้า  ทุกคนรู้ว่าฟ้ายิ่งใหญ่  แต่ไม่เคยรู้สึกว่าฟ้าหนัก


ฟ้าไม่เคยสนใจว่าจะมีใครไหว้กราบหรือไม่  แต่ถ้าใครคิดถ่มน้ำลายรดฟ้า  น้ำลายก็จะเปื้อนหน้าตัวเอง
คิดว่าคนไทย  เคยเห็นผู้ปกครองที่เหมือนฟ้ากันทุกคน...และคิดว่ามีไม่กี่คน  ที่พยายามถ่มน้ำลายรดฟ้า

ส่วนบรรดานักปกครองที่แสดงอำนาจบาตรใหญ่ว่าอยู่เหนือคนอื่่น  แ้ท้ที่จริงล้วนอยู่ใต้ฟ้า  บุญพาวาสนาส่งก็เลยเหลิงลืมตัว  พองตัวให้ใหญ่ขึ้น  สร้างฐานให้ตัวเองด้วยการเหยียบคนอื่นเพื่อจะก้าวขึ้นไปเรื่อย ๆ  คนที่อยู่ใต้ปกครองก็จะรู้สึกหนัก ๆ ๆ

จะโทษนักปกครองลืมตัวพวกนี้เต็มที่ก็ไม่ถูกนัก  ต้องโทษคนที่ยอมตัวเป็นฐานรองรับคนพวกนี้ด้วย  สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ  คนสอพลอที่มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย  ทำให้พวกนักปกครองเกิดอาการเหลิงเหมือนคนเป็นโรคภูมิแพ้  แก้ไม่หาย      เพราะมลพิษพวกนี้มีมากจริง ๆ  ไม่ว่าวงการไหน

ที่เห็นกันจะจะ  ในวันนี้ก็คือบรรดาข้าราชการที่ "ได้ดี  เพราะพี่ให้..." นี่แหละ


มีเรื่องเสียดสีน่ารักน่าชังของจีนอยู่เรื่องหนึ่ง   เล่าถึงบัณฑิตหนุ่มเพิ่งสอบได้เป็นขุนนาง  เลยไปหาช่างมือโปรให้วัดตัวตัดเสื้อ  เสื้อชุดข้าราชการจีนสมัยนั้นเป็นเสื้อตัวยาวคลุมเท้า  เหมือนที่เราเห็นในหนังนั่นแหละ
ยอดคุณช่างผู้รอบคอบถามว่า  รับราชการมานานแค่ไหนแล้ว  บัณฑิตหนุ่มสงสัยว่าจะถามไปหาพระแสงอะไร  นานแค่ไหนมันเกี่ยวอะไรกับเสื้อด้วย  ช่างก็เลยอรรถาธิบายว่า  ตัดเสื้อให้พอดีไม่ตึงไม่รั้ง  มันต้องดูพฤติกรรมคนใส่  คนที่รับราชการใหม่ ๆ มักจะภาคภูมิใจ  ไปไหนมาไหนก็เดินเชิดหน้า  อกผายไหล่ผึ่ง  เวลาตัดเสื้อก็ต้องตัดให้ด้านหน้ายาวด้านหลังสั้น  ครั้งพอรับราชการไปได้สักพัก  ที่เคยเชิดเคยยืดก็เริ่มลดน้อยลง  เสื้อด้านหน้าด้านหลังก็เลยตัดให้ยาวเท่ากัน  แต่ถ้ารับราชการมานานปี  โดยเฉพาะพวกที่เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ามาก ๆ  ต้องตัดเสื้อให้ด้านหน้าสั้นด้านหลังยาว เพราะพวกนี้ต้องคอยโค้งคำนับ  ใช่ครับพี่่  ดีครับผม... หลังงอเป็นกุ้ง  ขืนตัดเสื้อให้ด้านหน้ายาวก็คงเดินสะดุดชายเสื้อตัวเอง..
.

เผอิญชุดข้าราชการไทยไม่ใช่ชุดยาวเหมือนของจีน  ไม่อย่างนั้น  เราคงได้เห็นแฟชันเสื้อด้านหน้าสั้น  ด้านหลังยาวกันเกลื่อน



วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

ผิดหรือไม่ผิด...อยู่ที่จิตสำนึก

ผิดหรือไม่ผิด...อยู่ที่จิตสำนึก



เรื่องราวของ นรก สวรรค์  มีอยู่ในทุกศาสนา  จะจริงหรือไม่จริง  ก็นับว่ามีบทบาทช่วยยับยั้ง  ไม่ให้คนย่ามใจในการทำชั่วจนเกินไปนัก

จนมาถึงวันนี้  ยุคสมัยที่คนฉลาดเลิศเลอ  เทคโนโลยีครองโลก  ไม่ว่าพระเจ้าองค์ไหนก็ทำท่าว่าจะชิดซ้าย  ห่างหายจากใจไปหมด  เรื่องบาปกรรม  ก็กลายเป็นเรื่องตลกที่ตกยุคไปแล้ว  แม้แต่ตามวัดวาอารามที่มีภาพจิตรกรรม  ประติมากรรม  ทั้งนรก สวรรค์  ปั้นรูปเปรตสารพัดชนิดไว้เป็นเครื่องเตือนใจ  ก็ไม่เว้น


ในไตรภูมิพระร่วง  กล่าวถึงเรื่องนรกสวรรค์ไว้เป็นจริงเป็นจังมากมาย  และถือว่าเป็นวรรณคดีที่มีอิทธิพลต่อความคิด ความเชื่อของคนทั้งในยุคนั้นและต่อๆ มา  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเปรต  เรื่องสารพัดนรก  สำหรับบริการคนที่ทำชั่วสารพัดอย่าง  ในบรรดาสารพัดนรกนั้น  มีอยู่ขุมหนึ่งที่กล่าวถึงพวกข้าราชการที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง  ข่มเหงเอารัดเอาเปรียบประชาชน  ที่ต้องตกนรกหมกไหม้  พรรณนาไว้เสียน่ากลัว

แต่บังเอิญข้าราชการยุคนี้ไม่เคยอ่าน  หรือถึงอ่านก็ไม่กลัว  เพราะสะสมเงินทองไว้เยอะ  ตายไปก็ใช้ติดสินบนยมบาลได้


หนังสืออีกเล่มหนึ่ง  คือ โอวาทสี่ของท่านสี่เหลี่ยวฝาน  ก็ว่าด้วยเรื่องทำความดีเอาไว้  เล่มนี้ไม่น่ากลัวเหมือนไตรภูมิ  แต่ก็น่าสนใจ  มีอยู่ตอนหนึ่งที่เล่าถึงเรื่องข้าราชการคนหนึ่งฝันว่าตายไปเจอยมบาล  ยมบาลให้ดูบันทึกความชั่วที่กองเป็นภูเขาเลากา  ส่วนความดีมีอยู่น้อยนิดเดียว  ครั้นเอาความชั่วกับความดีขึ้นตาชั่ง  ปรากฏว่าความดีน้อยนิดกลับมีน้ำหนักมากกว่าความชั่วที่มองดูว่ามีมากมาย  ก็เลยถามยมบาลว่า  ความชั่วมากมายนั้นคือความชั่วอะไร  เพราะทำจนเพลิน  จำไม่ได้แล้ว  ยมบาลก็อธิบายว่าเป็นความชั่วประจำวัน  แค่คิดไม่ดี  ก็นับเป็นความชั่วแล้ว  ส่วนความดีน้อยนิดที่มีน้ำหนักมากนั้น  คือความดีที่ทำให้ประชาชน  ในฐานะที่เป็นข้าราชการ  แค่ครั้งเดียวที่กล้าคัดค้านนโยบายของเจ้าเมืองที่ให้เรียกเก็บภาษีอากรประชาชนที่ทุกข์ยาก  เพราะความสงสารว่าประชาชนจะเดือดร้อน  ซ้ำการคัดค้านนั้นก็ไม่สำเร็จเสียอีก  แต่แค่นั้นก็เป็นความดีที่มีน้ำหนักมากมาย  ยิ่งถ้าค้านแล้วสำเร็จก็จะยิ่งเป็นบุญที่มีน้ำหนักมากมายมหาศาล

หนังสือสองเรื่องนี้  แน่นอนเลยว่า  ข้าราชการไทยไม่เคยอ่าน

วันนี้  เราจึงได้เห็นข้าราชการระดับใหญ่มากของไทยแสดงความกตัญญูต่อตัวบุคคลทีมอบอำนาจวาสนาให้แบบสุด ๆ

แต่ไม่สนใจว่าอะไรคือความถูกต้อง  ไม่สนใจไยดีความรู้สึกขมขื่นของประชาชนที่ต้องเสียภาษีอากร  จ่ายเป็นเงินเดือนให้บรรดาข้าราชการทั้งหลายได้มีอยู่มีกินนับตั้งแต่ยังเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย  มาจนใหญ่โตคับแผ่นดินทุกวันนี้

เพราะเรื่องนรก สวรรค์  มันเป็นแค่จินตนาการ

เพราะผลการสำรวจ  ข้าราชการไทยทุจริตคอรัปชันมากมายมหาศาล  มันก็แค่ภาพลักษณ์

แต่ยศ อำนาจ และเงินทองที่จับต้องได้  มันเป็นของจริง

เราจึงได้เห็นข้าราชการบางคน  ยังยืนเด่นเป็นสง่า  ตั้งคำถามเสียงดังย้อนกลับมาหาสังคมว่า "ผมผิดหรือ..."

เพราะผิด  หรือไม่ผิด  มันอยู่ที่จิตสำนึก..