วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไชโย !!! ประเทศไทย

ไชโย !!! ประเทศไทย




อุ๊ยว้ายต๊ายตาย  คนไทยมีหนี้สินล้นพ้นตัวกันตั้งแต่เมื่อไหร่นี่
ไม่อยากเชื่อ  แต่ก็คงต้องเชื่อ  เพราะผลสำรวจที่ออกมามันฟ้องว่าคนทั้งแผ่นดินกำลังเพิ่มพูนพอกหนี้กันเข้าไว้คนละไม่น้อยเลยเชียวแหละค่ะ  และยิ่งนับวันก็ยิ่งมากขึ้น ๆ ๆ ๆ  เพราะรัฐบาลก็กำลังช่วยสร้างหนี้ให้เป็นกอบเป็นกำด้วยการจัดทำงบประมาณขาดดุลที่ต้องกู้เขามาใช้อย่างไม่บันยะบันยัง  จนขนาดผู้เชี่ยวชาญด้านการคลังออกมาร้องเตือน  ก็ยังทำเหมือนเสียงจิ้งจกทัก  ก็จะกู้ซะอย่าง  ใครจะทำไม

ด้านสถาบันการเงิน  ตอนนี้ก็ไม่ส่งเสริมให้คนเก็บออมกันแล้วค่ะ  ใครฝากเงินไว้เยอะ ๆ จะไม่คุ้มครองแล้ว  เพราะฉะนั้น  จงเข้ามาสู่ระบบหนี้  เอาเงินมาให้ธนาคารยืมไปลงทุนโน่นนี่นั่น..รับรองได้กำไร  ถ้าไม่ขาดทุนน่ะ่นะ


แต่เงินทุนลงไปแล้วห้ามถอน  ต้องลงทุนระยะยาว ๆ ๆ

เพราะฉะนั้น ถ้าลงทุนแบบนี้  อย่าเพิ่งรีบป่วย  รีบตาย  เพราะยังถอนเงินต้นคืนมาไม่ได้จนกว่าจะครบกำหนดสัญญา !!!

ครูก็เป็นหนี้  เกษตรกรก็เป็นหนี้  นักธุุรกิจยิ่งเป็นหนี้กันยกใหญ่  เพราะเป็นยุคจับเสือมือเปล่า  ไม่มีเงินทุนก็กู้มาลงทุน  ได้กำไรก็ใช้หนี้  แต่ถ้าขาดทุน  ก็เลือกเอา  จะเข้าคุก หรือฆ่าตัวตายดี  มีให้เลือกตามอัธยาศัย

หันมาสำรวจตัวเอง  อุ๊ยว้ายตายตายอีกที  ดิฉันก็เป็นหนี้กับเขาเหมือนกันหรือนี่  หลงทรนงตนว่าเป็นคนเสรี  มีอิสระทางการเงิน  ไม่เป็นลูกหนี้  ไม่เป็นเจ้าหนี้อะไรกับใครให้เป็๋นเวรเป็นกรรมกันไปในภายภาคหน้า  ที่ไหนได้  ก็ใบทวงหนี้นี่ยังไง  ทั้งค่าน้ำ ค่าำไฟ ค่าโทรศัพท์  สารพัดค่า ...ส่งมาทุกเืดือน  ให้ไปชำระหนี้ !!!

อนิจจัง  อนิจจา !!!  เราก้าวเข้าสู่สังคมนิยมหนี้  ไม่มีทางหนีพ้นเสียแล้ว


อีนังบัตรเครดิตนี่ก็อีก  ไม่อยากได้อยากดี  ก็ยัดเยียดกันจัง  นี่ก็เรื่องพยายามให้เอาเงินของอนาคตมาใช้  ก็ไม่รู้ว่าใช้ไปๆ  จะหมดอนาคตกันหรือเปล่า

ที่แน่ ๆ ก็คือ  นังตัวนี้แหละที่กระพือกิเลสคนให้ฟุ้งกระจายดีนัก  ถ้าไม่มีบัตรเครดิต  ไปช้อปปิ้งเห็นอะไรยั่วกิเลส  ถ้าไม่มีเงินก็ไม่มีปัญญาซื้อ  หมดเรื่องไป  กลับถึงบ้านก็หายอยาก  แต่พอมีบัตรเครดิต  ไม่มีเงินก็ซื้อได้...ก็ซื้อซิ  บางอย่างซื้อมาแล้วก็มานั่งปลงอนิจจัง  ซื้อมาทำไมก็ไม่รู้  เต็มบ้านไปหมดแล้ว  แถมยังมีหนี้ติดตัวกลับมาด้วย  จะจ่ายก่อนจ่ายหลัง  ค่อย ๆ จ่ายหรือจ่ายพรวดพราด  ก็ไม่พ้นต้องจ่ายอยู่ดี  แถมบวกด้วยดอกเบี้ยบานเบิก..

กระบวนการยั่วกิเลส  ยุยงส่งเสริมให้คนฟุ้งเฟ้อ  ทุกวันนี้ทะลุทะลวงไปทุกที่  เปิดรายการโทรทัศน์ไม่ว่าช่องไหน  เป็นต้องได้รับข้อมูลอันเป็นเท็จเสียมากกว่าจริง  ล้วนแล้วแต่ยั่วกิเลสให้ฟุ้งกระจาย

ก้าวเข้าไปในห้างสรรพสินค้าไม่ว่าเล็กใหญ่  ไม่พ้นต้องเจอรายการลดกระหน่ำ  แล้วไม่ว่าที่ไหนอีกเหมือนกัน  ก็มีคนกระหน่ำซื้อจริง ๆ ด้วย

เคยดูหนังตลกเรื่องหนึ่ง  ดาราตลกสาวไปช้อปปิ้ง  พอได้ยินว่าห้างกำลังลดราคาอาหารสุนัข  คุณเธอก็รีับวิ่งไปเข้าคิวซื้อ  เพื่อนสาวที่ไปด้วยทักท้วงว่า  ก็เธอไม่ได้เลี้ยงหมาไม่ใช่หรือ  แม่คุณตอบว่า  ของกำลังลดราคา  ซื้อไปก่อน  แล้วค่อยไปหาหมามาเลี้ยงทีหลัง !!!

สำนวนไทยที่สอนให้ประหยัด มัธยัสถ์  ประเภท "เก็บเล็กผสมน้อย, เบี้ยสามบาทอย่าให้ขาดชายพก" ถึงวันนี้  ก็นับว่าตกยุคไปจริงๆ แล้ว  ใครจะไปนึกถึง  โดยเฉพาะเวลามีของล่อตาล่อใจอยู่ตรงหน้า  ซาตานยังมีอิทธิพลเสมอ

ไม่ยังงั้น  นโยบายประชานิยมจะเรียกคะแนนเสียงได้ถล่มทลายหรือ?

หลักสำคัญของประชาธิปไตย คือ เสรีภาพ  เสมอภาค  ภราดรภาพ
ตอนนี้อย่างน้อยเราก็มีอยู่สองหลักแล้ว  คือมีเสรีในการจับจ่าย  และเป็นหนี้กันทั่วหน้า

ไชโย !!! ประเทศไทย  เราเป็นประชาธิปไตยเกินครึ่งใบแล้ว...










วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บทเพลงแห่งสงคราม

บทเพลงแห่งสงคราม



อินเดียมีวรรณกรรมระดับที่เรียกว่าเป็นมหากาพย์อยู่ ๒ เรื่อง  เรื่องหนึ่งก็คือ รามายณะ  หรือรามเกียรติ์  ซึ่งคนไทยส่วนมากรู้จักดี  ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ มหาภารตยุทธ ซึ่งเรื่องนี้ว่าที่จริงยิ่งใหญ่มาก  และยาวมาก จนได้ชื่อว่าเป็นมหากาพย์ที่ยาวที่สุดในโลก  ตัวละครก็มากมายจนจำไม่หวาดไม่ไหว

ภารตะ หรือภราดา แปลว่าพี่น้อง  มหาภารตยุทธก็คือการต่อสู้ระหว่างพี่น้อง  ทั้งนี้เพราะเรื่องราวยาวเหยียดในมหากาพย์เรื่องนี้  ว่าด้วยเรื่องสงครามระหว่างกษัตริย์สองฝ่ายคือ เการพ และปาณฑพ  ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน  โตมาด้วยกัน  ร่ำเรียนมาจากสำนักพระอาจารย์เดียวกัน  แต่ด้วยเกมชิงอำนาจ  ก็ทำให้พี่น้องกลับกลายมาเป็นศัตรูคู่อาฆาต  ทำสงครามกันย่อยยับไปทั้งสองฝ่าย

มหากาพย์เรื่องนี้  ว่าด้วยเรื่องรบกันไปรบกันมา  สงครามก็สร้างวีรบุรุษขึ้นหลายคนหลายครั้ง ในบรรดาวีรบุรุษสงครามเหล่านี้  ที่โดดเด่นมากก็เห็นจะเป็นพระอรชุน  กษัตริย์วงศ์ปาณฑพ  ที่มีทั้งมีฝีมือและคุณธรรม  และยังเป็นเพื่อนรักเพื่อนซี้กับพระกฤษณะ ซึ่งก็คือปางหนึ่งของนารายณ์ที่อวตารลงมาเป็นมนุษย์นั่นแหละ

ว่าที่จริงพระกฤษณะนั้นก็เป็นเพื่อนกับกษัตริย์ทั้งสองฝ่าย  และทั้งสองฝ่ายก็พยายามจะดึงพระกฤษณะให้เข้าข้างตน  พระกฤษณะไม่รู้ว่าจะตัดสินพระทัยยังไงดี  ก็เลยให้สองฝ่ายเลือกเอาระหว่างตัวพระกฤษณะกับกองทัพ  ทางฝ่ายเการพซึ่้งมีทุรโยธน์เป็นผู้นำเลือกเอากองทัพ  องค์พระกฤษณะก็เลยมาช่วยเป็นสารถีขับรถศึกให้พระอรชุน

ไคลแมกซ์ของเรื่องตอนนี้  คือ เหตุการณ์ตอนที่พระอรชุนเผชิญหน้ากับกองทัพฝ่ายตรงข้าม  มองไปก็เห็นแต่หน้าตาญาติสนิทมิตรสหายคนเคยคุ้นกันมา  กลับถืออาวุธมาเผชิญหน้าฆ่าฟันกัน  ก็เลยเกิดใจอ่อนจะเลิกรบเอาเสียดื้อ ๆ  ตอนนี้แหละ  พระกฤษณะที่ทำหน้าที่สารถีก็เลยร้องเพลงปลุกใจ  ที่เรียกว่า "ภควัตคีตา" หรือบทเพลงแห่งพระภควัน  เป็นเพลงที่เตือนให้คิดถึงหน้าที่  เป็นนักรบต้องรบ  ฆ่าเป็นฆ่า  ตายเป็นตาย  อะไรทำนองนั้น  ซึ่งก็ทำให้พระอรชุนตัดสินใจ "ลุย..."

ท้่ายที่สุดของสงครามมหาภารตะ  ก็คือพี่น้องทั้งสองฝ่ายตายเรียบ  ศพเกลื่อนไปทั้งทุ่งกุรุเกษตรที่เป็นสมรภูมิ

สงครามในมหาภารตะยุทธ  ดู ๆ ก็ไม่ต่างจากสงครามของเพื่อนพ้องน้องพี่บนพื้นแผ่นดินไทยวันนี้  พระกฤษณะก็เป็นยอดนักปลุกระดมไม่ได้ต่างไปจากบรรดานักปลุกระดมที่เราเห็น ๆ กันอยู่  หรือบางทีของบ้านเราอาจจะเหนือชั้นกว่าด้วยซ้ำไป  เพราะพระกฤษณะปลุกใจแค่พระอรชุนคนเดียว  ไม่ถึงกับฮึกเหิมกันไป....ทั้งแผ่นดิน!!

ในตอนท้ายของมหาภารตะ  หลังสงครามจบสิ้นลงพร้อมกับความสูญเสียยับเยิน  ยุธิษฐิระพี่ชายใหญ่ของกษัตริย์ปาณฑพเกิดความรู้สึกสลดหดหู่แทบจะหนีไปบวช  แต่ถูกเคี่ยวเข็ญให้ปกครองบ้านเมืองต่อไป  ก็เลยซังกะตายปกครองบ้านเมืองที่เหลือแต่เศษซ.าก   รอเวลาจนเทวดามาเชิญให้ไปสวรรค์  ส่วนวีรชนคนกล้าที่พลีชีพในสงครามครั้งนั้น  ในเรื่องไม่ได้บอกว่าไปสวรรค์หรือนรก


ส่วนพระกฤษณะ  ยอดนักปลุกระดม  ก็คงไม่เกี่ยว เสร็จพระราชภารกิจแล้วก็คงเสด็จกลับไปประทับนอนเอกเขนกอยู่ที่เกษียรสมุทรโน่น

เหมือนนักปลุกระดมบ้านเราเลย  เสร็จภารกิจแล้ว  ตอนนี้กำลังเสวยสุขอยู่  ใครจะเป็นจะตาย ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็...ไม่เกี่ยว


















วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฤกษ์โจร

ฤกษ์โจร



ชนะเป็นเจ้า  แพ้เป็นโจร
คำกล่าวนี้  เกิดขึ้นเพราะสมัยก่อน  การทำสงครามแย่งชิงบ้านเมือง  เขาเรียกว่าปล้นบ้านปล้นเมือง  ฝ่ายชนะก็สถาปนาตัวขึ้นเป็นใหญ่  ส่วนฝ่ายแำพ้ก็กลายเป็นเชลยบ้าง เป็นกบฏบ้าง

มาถึงยุคนี้  การปล้นบ้านปล้นเมืองก็ยังมีอยู่  แต่ปล้นแบบเนียน ๆ  ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ  ก็เลยผลัดกันเป็นเจ้า  ผลัดกันเป็นโจร  จนบางทีคนดูก็สับสน  ไม่แน่ใจว่าวันนี้ใครเป็นเจ้าใครเป็นโจร  เป็นโจรชั่วคราวหรือโจรแบบถาวร  หยั่งรากฝังลึกอยู่ในกมลสันดานมากน้อยแค่ไหน


ในตำราหมอดูนั้น  ฤกษ์โจร หรือโจโรฤกษ์  เป็นชื่อห้วงเวลาหนึ่งในจักรราศี  ที่ตามตำราบอกว่า  เป็นห้วงเวลาที่ให้คุณต่อบรรดาโจรทั้งหลาย  เหมาะสำหรับการแย่งชิง ปล้นฆ่าทำลายล้าง ฯลฯ ส่วนเด็กที่เกิดใต้ฤกษ์โจร  ก็มักจะมีนิสัยส่อไปในทางโจรๆ นี่แหละ  แต่ถ้าบังเอิญตอนเกิดมามีดาวศุภเคราะห์ให้คุณอยู่บ้าง  ก็อาจไม่ถึงกับเป็นโจร  แต่ก็ยังมีนิสัยชอบแข่งขันแย่งชิง  บรรดาโหราทั้งหลายจึงมักแนะนำคนที่มีลูกหลานบังเอิญเกิดในฤกษ์นี้ให้เลี้ยงดูส่งเสริมให้เป็นนักกีฬาอะไรสักอย่าง  แล้วก็ลุ้นให้ลงไปแข่งขันกันในสนามตามกฏกติกาเสียให้รู้แล้วรู้รอด  ซึ่งว่ากันว่าคนเกิดฤกษ์นี้แข่งอะไรก็มักจะชนะเสียด้วย


คนที่เกิดฤกษ์โจร  ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี  ก็มีอยู่ ๒-๓ คน  ที่พอเอ่ยถึง  คนมักจะร้อง อ๋อ...

คนแรกก็คือ พระเจ้าอชาตศัตรู  โอรสตัวร้ายของพระเจ้าพิมพิสาร  ตอนเกิดมาหมอดูก็ทำนายทายทักว่าโอรสองค์นี้จะเกิดมาเป็นศัตรูกับพ่อ  สมควรฆ่าทิ้งเสียดีกว่า  แต่พระเจ้าพิมพิสารก็ใจไม่ด้านพอ  ได้แต่ตั้งชื่อแก้เคล็ดว่า อชาตศัตรู  ก็คือไม่ได้เกิดมาเป็นศัตรู  แต่ปรากฏว่าชื่อไม่ขลังพอ   อชาตศัตรูโตขึ้นก็แย่งราชบัลลังก์  แถมยังจับพ่อไปขังไว้จนสิ้นพระชนม์  นี่แหละ โทษฐานไม่เชื่อหมอดู

และพระเจ้าอชาตศัตรูนี้เอง  พอเป็นกษัตริย์ก็เที่ยวรุกรานปล้นบ้านเมืองคนอื่น  รวมทั้งการวางแผนส่งวัสสการพราหมณ์เข้าไปทำลายสามัคคีธรรมของกษัตริย์ลิจฉวีเสียย่อยยับ  นี่ขนาดเป็นโอรสกษัตริย์  พระบิดาก็ธรรมะธรรโม  แววโจรยังโดดเด่น ยั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่

คนต่อมาก็คือ  องคุลีมาล  ตอนเกิดมา  ก็มีคนทำนายว่าจะโตขึ้นเป็นผู้ร้ายใจฉกรรจ์  สร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนมากมาย  ท่านพ่อก็ใจอ่อนเหมือนพระเจ้าพิมพิสาร  ได้แต่ตั้งชื่อแก้เคล็ดแบบเดียวกัน  คือให้ชื่อว่า อหิงสกะ  แปลว่า ผู้ไม่เบียดเบียน

แล้วก็ปรากฏว่าหมอดูก็ทำนายแม่นเป๊ะอีกเหมือนกัน  เพราะอหิงสกะซึ่งแรกเริ่มเดิมทีก็เหมือนจะดี  บังเอิญไปเจออาจารย์ไร้จรรยาบรรณ  กลัวลูกศิษย์ได้ดีเกินหน้า  เลยหลอกให้ไปฆ่าคนให้ได้พันคน  กลายเป็นจอมโจรองคุลีมาล  ฆ่าตนไป ๙๙๙ คน  เกือบจะฆ่าแม่ตัวเองเป็นคนที่ ๑,๐๐๐ โชคดีพระพุทธเจ้าไปขวางไว้ทัน  เทศนาจนเปลี่ยนเส้นทางชีวิต  หันมาบวชเป็นภิกษุ  ท้ายสุดได้บรรลุอรหันต์  หลุดจากอิทธิพลของฤกษ์โจรไป

ส่วนอีกคนหนึ่ง คือ กามนิต  พ่อค้าหนุ่มแห่งเมืองโกสัมพี  เรื่องนี้เคยเป็นหนังสือเรียน  ตอนนี้ก็ยังเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา  กามนิตเกิดมาในยุคเดียวกับองคุลีมาลนี่แหละ  ตอนเป็นพ่อค้านำสินค้าไปขายต่างเมืองถูกองคุลีมาลปล้นกลางทาง  แต่รอดชีวิตเพราะพ่อรวย  เลยถูกจับไว้เป็นตัวประกันให้พ่อส่งค่าไถ่มาให้  ระหว่างที่เป็นตัวประกันนี้เอง  กามนิตได้พบกับวาชศรพซึ่งเป็นอาจารย์สอนโจรในสังกัดองคุลีมาล  วาชศรพคนนี้ก็เกิดฤกษ์โจรเหมือนกัน  เลยมาเป็นโจรตามดวง  วาชศรพทำนายว่ากามนิตก็เกิดฤกษ์โจร  ยังไง ๆ ก็ต้องเป็นโจร  ฟันธง !

แต่ไม่รู้ว่าวาชศรพโมเม หรือกามนิตบอก วัน เดือน ปี เกิด ผิดพลาด  ทำให้ทำนายผิด  เพราะท้ายที่สุดกามนิตก็ไม่ยักได้เป็นโจร  เพราะพ่อส่งค่าไถ่มาให้ก่อน  กามนิตก็กลับไปเป็นพ่อค้าร่ำรวย  จนท้ายสุดเกิดความเบื่อหน่าย  ออกเที่ยวตามหาพระพุทธเจ้า  แล้วไปโดนวัวบ้าขวิดตายเสียก่อน  โดยไม่รู้ว่าได้พบพระพุทธเจ้าแล้ว  ได้ฟังธรรมก็แล้วแต่ไม่ทะลุ  เพราะใจยังหมกมุ่นกับความรัก
สรุปว่ากามนิตก็ตายไปโดยไม่ได้เป็นโจร  กลับได้ไปเ้กิดในแดนสุขาวดี  กลายเป็นกามนิต ภาค ๒

ทั้งหลายทั้งแหล่นี้  ก็คงจะสรุปได้ว่า อชาตศัตรู และองคุลีมาลนั้น  เกิดมาเพื่อจะเป็นโจร  ส่วนกามนิต  ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า  และที่ไม่ได้เป็นโจรทั้ง ๆ ที่เข้าไปอยู่ในหมู่โจร  นั่งฟังวาชศรพอบรมหว่านล้อมอยู่นานโข  ก็คงเป็นเพราะไม่มีสันดานเป็นโจร

ส่วนหลายคนที่เราเห็นท่้าทางเหมือนโจรอยู่ตอนนี้  ไม่แน่ใจว่าเกิดฤกษ์โจร  เป็นโจรแท้ในกมลสันดาน  หรือได้รับการอบรมบ่มนิสัยให้เป็นโจร  หรือเกิดจากค่านิยมเห็นคนมีพฤติกรรมเป็นโจรแล้วได้ดีมีสุขไปตาม ๆกัน  เลยเอาอย่าง ก็ไม่รู้

ที่น่าแปลกใจก็คือ  ฤกษ์โจรก็เป็นห้วงเวลาสั้น ๆ ในบรรดาสารพัดฤกษ์  คนทีเกิดฤกษ์นี้ถ้าคิดเป็นอัตราส่วนก็น่าจะไม่กี่เปอร์เซ็นต์

แต่ทำไมตอนนี้  เหมือนมีโจรเกลื่อนไปหมด
โจรใต้ก็มี  โจรเมืองหลวงก็เพียบ  โจรปล้นบ้านเมือง ปล้นเงินภาษีประชาชนก็ยุ่บยั่บไปหมด

ใครมีลูกหลานเกิดฤกษ์โจร  รีบส่งเสริมให้เป็นนักกีฬาเร็ว ๆ นะ  ให้ไปแข่งแย่งเหรียญแย่งถ้วยในสนาม สร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติ

ดีกว่าปล่อยให้มาเป็นโจรเล็ก  โจรใหญ่  โจรระดับชาติ  เพ่นพ่านสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านอย่างทุกวันนี้




วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วีรบุรุษ หรือ อสรพิษ

วัสสการพราหมณ์...วีรบุรุษ หรืออสรพิษ



วัสสการพราหมณ์  เป็นพราหมณ์ปุโรหิต  กุนซือของพระเจ้าอชาตศัตรู  ซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยพุทธกาล  วีรกรรมชองวัสสการพราหมณ์ที่สร้างชื่อเสียงโด่งดัง  จนพระพุทธเจ้าทรงยกมาเป็นอุทาหรณ์สอนพุทธสาวกก็คือการทำตัวเป้นบ่างช่างยุ  จนท้ายที่สุด  แคว้นลิจฉวีซึ่งเคยแข็งแกร่งมั่นคงด้วยสามัคคีธรรม  ก็แตกแยกอ่อนแอ  ถูกกองทัพพระเจ้าอชาตศัตรูยึดครองได้อย่างง่ายดาย



พฤติกรรมของวัสสการพราหมณ์  หากมองในแง่ของการเป็นพราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าอชาตศัตรูก็ถือว่าเป็นวีรบุรุษของแคว้นมคธ  ตั้งแต่การวิเคราะห์จุดแข็งของแคว้นลิจฉวีคือ สามัคคีธรรม  และวางแผนทำลายสามัคคีได้อย่างเป็นขั้นตอน  เริ่มตั้งแต่ทำทีขัดแย้งกับพระเจ้าอชาตศัตรู  จนถูกลงโทษโบยและเนรเทศ  ซึ่งผู้เขียนได้บรรยายให้วัสสการพราหมณ์เป็นฮีโร่ในตอนนี้ว่า

โดยเต็มกตัญญู             กตเวทิตาครัน
ใหญ่ยิ่งและยากอัน        นรอื่นจะอาจทน
หยั่งชอบนิยมเชื่อ          สละเนื้อและเลือดตน
ยอมรับทุเรศผล             ขรการณ์พะพานกาย
ไป่เห็นกะเจ็บแสบ          ชีวแทบจะทำลาย
มุ่งสัตย์สมรรถหมาย      บ มิพรั่น ฤ หวั่นไหว
หวังแผน ณ แผ่นดิน       ผิถวิลสะดวกใด
เกื้อกิจสฤษดิ์ไป             บ มีเลี่ยงละเบี่ยงเบือน

วัสสการยอมอุทิศตัวเอง  รับราชทัณฑ์ทั้งโบยและเนรเทศให้คนเห็นกันทั้งเมือง  หลังจากสร้างเรื่องให้ดูน่าเชื่อถือแล้วก็เดินทางไปเป็นหนอนบ่อนไส้ในเมืองลิจฉวี  สร้างเรื่องราวให้น่าเห็นอกเห็นใจ  จนฝ่ายลิจฉวีหลงเชื่อยอมรับวัสสการพราหมณ์ไว้ในเมือง  ซึ่งก็เท่ากับโอบอุ้มอสรพิษร้ายเข้าไว้เต็มๆ

ในตอนแรก วัสสการพราหมณ์ก็ทำทีตั้งอกตั้งใจรับราชการอย่างดีจนเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีหมดความระแวง  แ้ล้วก็ถือโอกาสที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ของบรรดาพระกุมาร  ยุแยงตะแคงรั่ว  ทำอุบายให้เด็กทะเลาะกัน  แล้วก็เลยลามไปถึงพ่อแม่  จากเรื่องขุ่นเคืองกันส่วนตัวก็เลยพาลไปถึงเรื่องงานการ  ท้ายที่สุดสภากษัตริย์ลิจฉวีก็เลยทะเลาะกันเละคล้าย ๆ สภาไทย  จนไม่มีใครอยากจะเข้าประชุม  ถึงเวลามีปัญหาใหญ่ขนาดข้าศึกยกมาประชิดเขตแดน  ตีกลองเรียกประชุมเท่าไรก็ยังไม่มีคนมาประชุม  วัสสการพราหมณ์ก็เลยเปิดประตูให้กองทัพพระเจ้าอชาตศัตรูก็เลยเข้ายึดได้อย่างสบาย

ซึ่งแน่ละ  ทั้งหลายทั้งปวงก็เป็นผลงานของวัสสการพราหมณ์เต็ม ๆ  เมื่อกลับไปเมืองมคธ  วัสสการพราหมณ์ก็คงได้รับความดีความชอบ  เป็นวีรบุรุษสุดประเสริฐเลิศเลอ  มีแต่เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ

เรียกว่า  กลับอย่างเท่...

แต่เมื่อพลิกมุมมองกลับมาในด้านของเมืองลิจฉวี   วัสสการพราหมณ์นับว่าเป็นอสรพิษที่แฝงตัวเข้ามาเมื่อทำลายล้างบ้านเมืองและผู้คนอย่างโหดร้าย  เป็นครูที่ไม่มีจรรยาบรรณของครูอยู่ในหัวใจเลยแม้แต่น้อย จึงได้สร้างเรื่อง  อาศัยความเป็นครูใส่ยาพิษลงในหัวใจของเด็ก  เรียกว่าขาดจิตสำนึกของความเป็นครูชัดๆ

และเมื่อยุยงจนเด็กทะเลาะกัน  ลุกลามไปถึงผู้ใหญ่  กลายเป็นชนวนที่ทำให้แตกแยกกันไปทั่ว  วัสสการพราหมณ์ก็ส่งข่าวให้กองทัพของพระเจ้าอชาตศัตรูยกมา  แถมยังเปิดประตูเมืองให้  เรียกว่าอกตัญญู  หักหลังกษัตริย์ลิจฉวีที่เคยเมตตาอุปถัมภ์ค้ำจุนเสียสะใจ


วัสสการพราหมณ์จึงนับว่าเป็นคนเลวร้ายอย่างสมบูรณ์  ในมุมมองของชาวลิจฉวี



วัสสการพราหมณ์เป็นวีรบุรุษของเมืองมคธ  ที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน  ขณะที่เป็นโจรร้ายใจฉกรรจ์ที่ทำลายล้างบ้านเมืองคนอื่น  หักกลบลบล้างกันแล้ว  ก็เรียกว่า  ไม่ถึงกับเลวบริสุทธิ์

ต่างจากคนที่กิดบนแผ่นดินไทย  แต่ทำตัวเป็นวัสสการพราหมณ์  ยุยงให้คนแตกสามัคคี  ปั่นหัวให้คนทะเลาะกันจนถึงกับลงมือฆ่ากันตาย  บ้านเมืองแทบจะพินาศย่อยยับลงไปอย่างทุกวันนี้

ไม่ว่าจะมองมุมไหน  ก็ห่างไกลคำว่าวีรบุรุษลิบลับ