วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

คนไทยพันธุ์ใหม่

คนไทยพันธุ์ใหม่


มองภาพเด็กไทยวันนี้  ที่เห็นตามสื่อต่าง ๆ รวมทั้งตามถนนหนทาง  ศูนย์การค้า ฯลฯ    ประกอบกับมองทิศทางการศึกษาไทยทุกวันนี้  ก็พอจะจินตนาการภาพคนไทยพันธุ์ใหม่ในอนาคตอันใกล้ได้

เป็นพันธุ์ใหม่ที่ไม่ได้เกิดจากการคัดสรรคุณลักษณะที่ดีที่สุด  แต่เป็นการกลายพันธุ์ที่เกิดจากการปรับตัวไปตามยุคสมัย  เหมือนพืช  สัตว์  หรือเชื้อโรคหลายสายพันธุ์


ทั้งภาพลักษณ์ที่ถูกครอบงำด้วยแฟชั่นอเมริกันบ้าง เกาหลีบ้าง

ทั้งภาษาที่วิบัติไปเรื่อย ๆ เพราะขาดรากฐาน  และขาดจิตสำนึก

รวมทั้งความคิดที่สับสนคล้ายโรฮิงญาพลัดถิ่น  ไม่สามารถจะบอกได้ว่า  ตัวเองเป็นใคร  มาจากไหน...

ไม่รู้ว่าสถานศึกษาแต่ละแห่งคิดอย่างไรในการปรับหลักสูตรให้อินเต๊อ...อินเตอร์  โดยมองข้ามการสร้างรากฐานความเป็นคนไทยให้มั่นคงแข็งแรง

เหมือนตะบี้ตะบันจะให้รู้เขา...แต่ไม่รู้เรา !!!

แบบนี้ศิษย์ซุนวูบอกได้เลยว่า  ไม่ต้องรบถึงร้อยครั้งหรอก แค่ครั้งแรกก็แตกกระเจิง

ประวัติศาสตร์ไทยถูกถามหาครั้งแล้วครั้งเล่า  หลังจากความจริงฟ้องว่าคนไทยวันนี้  ขาดจิตสำนึกในความเป็นไทย

ไม่ตระหนักว่า  แผ่นดินไทยทุกวันนี้  ต้องแลกด้วยเลือดเนื้อชีวิตของบรรพบุรุษมามากน้อยแค่ไหน

คนไทยไม่ต้องเร่ร่อนไปอาศัยบ้านเมืองอื่น  ไปเป็นประชาชนชั้นที่สองทีสาม... มีศักดิ์ศรี  มีชาติ  มีภาษาของตนเอง  แต่ลูกหลานไทยกลับไม่เห็นค่า

ภาษาไทยถูกตัด  ถูกบั่นทอนออกจากหลักสูตร  เพื่อเปิดเนื้อที่ให้ภาษาต่างด้าว  และความรู้จับจดทั้งหลายแหล่เข้ามาแทน  เพราะขาดความตระหนักว่าภาษาเป็นรากเหง้าของวัฒนธรรม  เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะปลูกฝังความรู้ความคิดทั้งหลายทั้งปวง

เด็กไทยส่วนมากจึงได้เรียนภาษาไทยแค่ระดับพื้นฐานซึ่งเป็นมาตรฐานต่ำสุดที่กำหนดไว้  เพื่อเอื้อต่อเด็กด้อยโอกาส  และอยู่ห่างไกลการพัฒนา

ส่วนที่หลักสูตรเปิดโอกาสให้โรงเรียนพัฒนาวิชาเพิ่มเติมได้อย่างเสรี  โดยคาดหวังว่าตรงนี้แหละจะเป็นการเจียระนัยเด็กที่มีความถนัดทางภาษาให้รู้ลึก  รู้กว้าง  เกิดความรัก  เห็นคุณค่าของแต่ละวิชา  จนค้นพบตัวเอง  กลับถูกปิดลง

การลด  การปิดวิชาภาษาไทย  จึงเป็นการปิดโอกาสเด็กไม่ให้ได้มองเห็นเส้นทางอีกสายหนึ่ง  และทางสายนี้แหละที่สร้างนักภาษา  นักคิด  นักเขียน  นักพูด ฯลฯ ที่สร้างสรรค์ผลงานอันทรงคุณค่าอยู่ทุกวันนี้


โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสร้างครูภาษาไทยรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ  ไม่ใช่สักแต่เรียนเพราะไม่รู้จะเรียนอะไร  และวันหนึ่งก็จะเป็นครูภาษาไทยที่ทำให้เด็กเบื่อหน่ายภาษาไทยหนักเข้าไปอีก

คนไทยเจนเนอเรชั่นใหม่  คงเป็นคนไทยที่พูดภาษาไทยได้แค่สื่อสาร  แบบผิด ๆ ถูก ๆ ใกล้เคียงพม่า ลาว เวียตนาม ฯลฯ

วรรณคดีชั้นสูง  ไม่รู้ว่าจะขึ้นหิ้งหรือเก็บใส่กรุ  เพราะไม่มีคนอ่าน

และภาษาสวย ๆ ก็คงสูญหายไป  เหลือแต่ภาษาลวก ๆ ไร้คุณค่า  เหมือนอาหารฟาสต์ฟู้ด

ที่สำคัญคือ  คนไทยรุ่นใหม่จะขาดจิตสำนึกในความเป็นชาติ  กลายเป็นชนเผ่าน้อยในอาเซียน

เด็กไทยทุกวันนี้  ไม่ได้ถูกปลูกฝังจิตสำนึกรักชาติ รักแผ่นดิน

แต่ฝังหัวอยู่ทุกวันว่าเมื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียน  ทุกคนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในอาเซียน  พูดภาษาอาเซียน  วิ่งไปหางานทำในอาเซียน  เพื่อเปิดโอกาสให้คนในอาเซียนแห่กันมาหากินในเมืองไทยแทน

แล้วอีกไม่ช้า  แผ่นดินทองของไทย  จะกลายเป็นขุมทรัพย์ของพม่า  ลาว  เวียตนาม มาเลย์ ฯลฯ

ภาษาไทยกลายเป็นภาษาถิ่นของชนกลุ่มน้อย  และอาจตายไป  เมื่อไม่มีคนสนใจจะสื่อสารกันด้วยภาษานี้อีกต่อไป

เหลือแต่ประวัติศาสตร์ที่อาจจารึกไว้ว่า  ที่นี่...เคยเป็นประเทศไทย  และคนที่เคยอยู่ตรงนี้  ครั้งหนึ่งเคยสื่อสารกันด้วยภาษาไทย

อนิจจา...ประเทศไทย



วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

มืออาชีพ

มืออาชีพ

มืออาชีพ หรือมือโปรฯ ก็คือคนเก่ง  มีความเชี่ยวชาญในอาชีพสาขาใดสาขาหนึ่ง

ความเชี่ยวชาญที่ว่านี้ส่วนมากก็เกิดจากความรู้ บวกกับประสบการณ์  ผ่านร้อนผ่านหนาว  ผ่านการลองผิดลองถูก  มาจนถึงจุดที่รู้แจ้งแทงตลอด  มองเห็นปัญหา  รู้ที่มาที่ไป  รู้วิธีแก้ไข ทะลุปรุโปร่ง

ไม่ว่าจะทำอะไร  คาดหวังผลแค่ไหน  รับรอง...เป๊ะ!



ส่วนที่ตรงข้ามกับมืออาชีพ  ก็คือมือสมัครเล่น ซึ่งด้อยทั้งความรู้และประสบการณ์  ไม่ว่าจะทำอะไร  เป๊ะ เหมือนกัน แต่เละตุ้มเป๊ะ !!!


เมื่อตอนปฏิรูปการศึกษา  คาดหวังหนักหนาว่า  ครูต้องเป็นมืออาชีพ  จัดการเรียนการสอนได้เป๊ะ  เข้าเป้า  สอนให้เด็กไทย เก่ง ดี และมีความสุข !!!



แล้วก็มีการพัฒนาครูกันเิอิกเกริก  ทุ่มงบประมาณไปมากโข  ปลุกปล้ำ  ปลุกปั้นจนครูถอดใจ  เปลี่ยนเส้นทางชีวิต  ไปอยู่เป็นสุข ๆ ก่อนวัยเกษียณ  เสียหลายส่วน


ที่เหลืออยู่  ก็ใช่จะรับประกันได้ว่า  มืออาชีพของแท้  แต่ที่แน่ ๆ คือ  มีความอดทนสูง  ใครจะว่ายังไง  ฉันก็เป็นของฉันยังงี้แหละ  ก็เลยมั่นคง  แข็งแรง  ทนทานอยู่ในวิชาชีพได้

ส่วนที่คาดหวังว่า  กำจัดครูพันธุ์เก่า  ไดโนเสาร์เต่าล้านปีไปแล้ว  จะสร้างครูพันธุ์ใหม่ให้เป็นมืออาชีพของแท้  ก็ยังอยู่ในขั้นทดลองที่ยังไม่กล้าออกเครื่องหมายรับประกันคุณภาพ  เพราะมืออาชีพจริงๆ ไม่ใช่ผลิตใหม่สดจากโรงงาน ประสบการณ์ก็สำคัญไม่ใช่น้อย  



เพราะฉะนั้น  ในระหว่างกระบวนการเปลี่ยนผ่านก็ปล่อยให้เด็กไทยเละตุ้มเป๊ะไปก่อน  เหมือนทุกวันนี้ไง

จะโทษครูอย่างเดียวก็ออกจะใจร้ายไปหน่อย  เพราะพ่อแม่สมัยนี้  จำนวนไม่น้อยก็มือสมัครเล่น  มัวแต่ไปโปรฯ ด้านอื่น  โยนภาระให้ครูเต็ม ๆ  ก็คิดดูก็แล้วกัน  แค่พ่อแม่มีลูก ๒-๓ คน  ยังเลี้ยงไม่ค่อยจะได้อย่างใจ  แล้วครูคนหนึ่งดูแลเด็กเป็นร้อย  ไม่ใช่สอนกันตัวต่อตัวเสียเมื่อไหร่  จะได้เล็งผลเลิศ  หวังผลเต็มร้อย


ผู้บริหารก็มือสมัครเล่น คูณบ้างหารบ้าง  อาศัยกวดวิชาสอบเทียบเข้าสู่ตำแหน่ง  มาเล่นบทผู้บริหารก็ต้องพยายามเล่นให้สมบทบาท

ดีที่ว่า  งานหลักผู้บริหารการศึกษายุคนี้  ส่วนใหญ่ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย รับนโยบายมาก็ส่งต่อให้คนอื่นทำ  แล้วก็ตามเก็บรวบรวมไปเสนอผู้หลักผู้ใหญ่  ถ้าบุคลากรในโรงเรียนเป็นมืออาชีพ  ผู้บริหารก็ได้หน้าได้ตากันไป   แต่ถ้าต่างคนต่างก็มือสมัครเล่น  ก็อิรุงตุงนังไปตามมีตามเกิด


มองขึ้นไปข้างบน  คาดว่าจะเห็นระดับมันสมองของแท้  ส่องแล้วส่องอีก  คิดว่านัยน์ตาฝาด  ทำไมเห็นแต่มันเทศ  มันฝรั่ง  มันต่อเผือก ฯลฯ


ความรู้ไม่จะแจ้ง ความดีไม่ประจักษ์

เรียนจบอะไรหรือไม่จบก็ไม่สำคัญ  บุญพาวาสนาส่งให้นั่งเก้าอี้ครูก็เป็นครู  ย้ายไปนั่งเก้าอี้หมอก็เป็นหมอ  สวมบทบาทพูดจ้อ  ราวกับว่าแตกฉานชำนาญการอย่างน่าอัศจรรย์

แล้วจะคาดหวังให้การศึกษาไทยไปถึงไหนกันเล่า  ก็ปัญหาการศึกษาไทยทุกวันนี้มันวิกฤติ  ชนิดเหลือจะเยียวยา  มองไปทางไหนก็ล้วนแล้วแต่ปัญหาใหญ่โตมโหฬาร

ท่านยังคว้าเอาประ้เด็นผมเกรียนไม่เกรียนมาว่าเป็นฉาก ๆ ส่วนเรื่องมันสมองที่อยู่ใต้ทรงผมไม่ยักได้คิดถึง

หันไปดูอาชีพอื่น  ก็ดูมันวิปริตผิดเพี้ยนกันไปหมด

เป็นต้นว่าตำรวจมืออาชีพ  ก็น่าจะรู้ว่าหน้าที่ของตำรวจคือพิทักษ์ปวงประชา  ดันไปพิทักษ์คนทำผิดกฏหมาย!!!

ทหารน่าจะปกป้องผืนแผ่นดินไทย  ดูไปดูมา  ทำท่าทีเหมือนจะปกป้องรัฐบาล !!!

ก็แล้วระดับรัฐบาล  มีมืออาชีพตัวจริงสักกี่คนกันเล่า  เอาอนาคตของประเทศชาติไปฝากไว้กับมือสมัครเล่น  แค่คิดก็ใจหายแล้ว...

แต่...เหรียญย่อมมีสองด้าน  เด็กออทิสติก  ส่วนมากมีความเป็นเลิศไม่อะไรก็อะไรสักอย่าง

ในทุกสาขาวิชาชีพ  ที่ว่าหามืออาชีพยาก  กลับเห็นแววแว้บวับ  ที่นี่...ที่นั่น...ที่โน่น

เป็นแววนักวิ่ง  และนักโฆษณาประชาสัมพันธ์!!!

นักวิ่งนั้นเรียกได้ว่าระดับอินเตอร์  ไม่ได้วิ่งเฉพาะในประเทศ แต่วิ่งออกไปถึงนอกประเทศ !!!

ส่วนเรื่องประชาสัมพันธ์ก็เริ่ด...  ทำอะไรสักนิด  ประชาสัมพันธ์ยกป้าย  ออกสื่อให้กันให้ระเบิดระเบ้อ

ก็ไม่รู้จะเรียกได้ว่ามือโปรฯ หรือเปล่า  เพราะวิชาชีพของตัวเองไม่ยักเชี่ยวชาญ  แต่อุตริไปเชี่ยวชาญด้านอื่น













วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

ถึง...เพื่อนครู

ถึง...เพื่อนครู





ถึงเพื่อนครูผู้ร่วมทางร่วมสร้างฝัน
ข้างหน้านั้นทุกข์ยากมีขวากหนาม
เธอคงต้องฟันฝ่าพยายาม

เพื่่อก้าวข้ามสู่จุดหมายถึงปลายทาง





ถึงเพื่อนครูผู้สับสนจนเหนื่อยล้า
มิใช่ว่าเธอจะไร้ใครเคียงข้าง
ถึงหนทางดูเหมือนยังเลือนลาง
ขอเพียงเธอก้าวย่างอย่างมั่นใจ







เธอเป็นครู...เธอเป็นผู้มีความคิด
รู้ถูกผิดแจงแจกจำแนกได้
เธอเป็นผู้รู้จริงยิ่งกว่าใคร
แล้วเหตุใดเธอจึงขลาดจึงหวาดกลัว




เพียงหนึ่งแรงแสงเทียนที่ริบหรี่
ไม่อาจมีแสงสว่างกระจ่างทั่ว
กลางสังคมสับสนความหม่นมัว
หวังครูทั่วแผ่นดินทองส่องปัญญา



ถึง...เพื่อนครู  ผุ้ร่วมวันวิกฤติ
จงร่วมคิดร่วมสร้างวันข้างหน้า
ผสานใจผสานแรงแห่งศรัทธา
ให้แกร่งกล้าสมเป็นครู...ผู้สร้างคน

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

ยุคใหม่

ยุคใหม่


โลกคงไม่แตกแล้วละนะ  หรืออย่างน้อยก็ไม่แตกโพละ  แยกเป็นเสี่ยง ๆ...เอฟเฟ็คสนั่น  เหมือนในหนัง

แต่อาจจะค่อย ๆ แตกร้าว  ปริที่โน่น..ที่นี่..ที่นั่่น..แผ่นดินไหว  ภูเขาไฟระเบิด  เสื่อมสภาพไปเรื่อย ๆ

ด้วยฝีมือมนุษย์นี่แหละ  หาใช่ดาวอะไรวิ่งมาชน  หรือมนุษย์โลกไหนมายึดครองอย่างที่ตื่นเต้นกันไม่

เรื่องโลกแตกหรือวันสิ้นโลก เป็นเรื่องที่พูดถึงกันมานาน  และมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์หลายเล่ม  แม้จะมีรายละเอียดความเชื่อที่เหมือนกันบ้างต่างกันบ้าง  แต่ที่พ้องกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ  ม้ันต้่องแตกเข้าสักวัน

เมื่อมนุษย์หลงระเริง  ไม่สนใจบาปบุญคุณโทษ  สมบัติโลกที่ถูกสร้างขึ้นให้คนทั้งโลก  ไม่เพียงพอตอบสนองความโลภของมนุษย์บางคน บางกลุ่ม...

ก็ถึงวันที่จะต้องมีบิกคลีนนิ่งเดย์  กันเสียที  เพื่อเริ่มต้นจัดระเบียบใหม่

ส่วนวิธีการคลีนนิ่งก็มีแตกต่างกัน  บ้างก็ว่าจะมีน้ำท่วมล้างโลก  บ้างก็ว่ามีไฟบัลลัยกัลป์เผาเสียก่อน  แล้วค่อยเอาน้ำล้างอีกที


ส่วนการสิ้นสุดปฏิทินของชาวมายาที่ตื่นเต้นกันไปทั้งโลกคราวนี้  สรุปได้ว่ายังไม่ใช่วันโลกแตกของจริง

การหมดเวลาในปฏิทินเพียงแค่การสิ้นยุค  เพื่อเริ่มยุคใหม่ซึ่งเขาเชื่อว่าจะดีกว่าเดิม

ฟังดูน่าเชื่อน้อยกว่าโลกแตกอีกนะ  ยุคใหม่มันจะดีกว่าได้ยังไงในเมื่อแนวโน้มมันยำ่แย่ลงทุกวัน



หันมามองคัมภีร์เก่า ๆ อย่างคัมภีร์พระเวทของฮินดู  เขาแบ่งช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงของโลกเป็นสี่ยุด ได้แก่ สัตยยุค  ไตรดายุค  ทวาปรยุค และกลียุค

สามยุคแรกว่ากันว่าน่าจะผ่านไปแล้ว  เป็นยุคที่โลกยังดีๆ อยู่  หรืออย่างน้อยก็ดีกว่าทุกวันนี้  ผู้คนก็ยังมีจิตสำนึก  รู้จักบาปบุญคุณโทษกันอยู่

ส่วนยุคที่เราอยู่เป็นยุคสุดท้าย  เรียกว่ากลียุค หรือยุคมืด

ฮินดูนับถือพระเจ้าสามองค์  คือพระพรหม  เป็นผู้สร้าง  พระนารายณ์เป็นผู้ปราบยุคเข็ญ  ส่วนพระอิศวรหรือพระศิวะเป็นผู้ทำลาย  แบ่งหน้าที่กันเพื่อรักษาสมดุลของโลก

นั่นคือหลังจากพระพรหมสร้างโลกเอาไว้ดิบดี  แต่ดันมีพวกอสูร ปีศาจ มาร ฯลฯ มาสร้า่งความเดือดร้อน  เกิดยุคเข็ญขึ้นมา  ก็เป็นหน้าที่ของพระนารายณ์จะอวตารลงมาปราบอสูร  ซึ่งก็ปราบแล้วปราบอีกไปหลายรอบ  ลูกหลานอสูรก็ยังไม่หมด  คราวนี้ก็ถึงบทพระอิศวรจะต้องลงมือทำลายให้ราบเรียบไป  โดยลืมพระเนตรที่สามที่อยู่กลางหน้าผากเผาเสียให้รู้แล้วรู้รอด

ลักษณะของกลียุคที่กล่าวไว้นั้น  ก็เหมือนๆ กับที่เราเห็นกันอยู่นี่แหละ  เป็นต้นว่า

ผู้ปกครองบ้านเมืองจะเป็นผู้เหลวไหลไม่มีเหตุผล...ใช่เลย

จัดเก็บภาษีอย่างไม่เป็นธรรม...ใช่อีก ทำไมบางคนมันเลี่ยงภาษี กันได้เยอะแยะ  เราแค่มนุษย์เงินเดือนทำไมเสียภาษีย่อยยับ  แถมยังเอาภาษีเราไปใช้อีลุ่ยฉุยแฉก  น่าเจ็บใจ

ผู้ปกครองจะไม่เห็นว่าการส่งเสริมด้านจิตวิญญาณเป็นหน้าที่อีกต่อไป...แหงละ  ก็เพราะว่าตัวผู้ปกครองบ้านเมืองเองก็จิตวิญญาณตกต่ำย่ำแย่ จะไปส่งเสริมใครได้

ผู้ปกครองจะทำตัวเป็นอันตรายต่อโลก...อันนี้ก็ใช่นะ  ก็เขมือบทรัพยากรกันซะขนาดนั้น  ไม่เรียกว่าอันตรายต่อโลกแล้วจะเรียกว่าอะไร

ในด้านความสัมพันธ์ของผู้คน  ในกลียุคนั้น  ความโลภและความโกรธแค้นจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา  ผู้คนจะแสดงความเกลียดชังต่อผู้อื่นอย่างเปิดเผย..ใช่เล้ย..ใช่เลย  ใช่เสียยิ่งกว่าใช่

ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าโลภก็สุดๆ ทะเลาะกัน  ด่ากัน  ตบตีกันเป็นเรื่องธรรมดามากจริงๆ ขนาดคนใหญ่คนโตในบ้านเมืองก็ยังถ่อย ๆ เถื่อน ๆ เต็มไปหมด

ส่วนสภาพอากาศและธรรมชาติ... เมฆจะเทฝนลงมาอย่างไม่มีฤดูกาล....ใช่ๆๆๆ ฝนบ้าอะไรไม่รู้  นึกจะตกก็ตก  บทจะไม่ตก  แห่นางแมว  เซิ้งบั้งไฟยังไงก็ไม่ตก  เอาแต่ใจเสียนี่กระไร

และเมื่อฟ้าดินวิปริต  คนก็วิปลาส  อะไร ๆ มันเป็นอย่างที่ว่า  ท่านก็ว่า  เมื่อนั้นจุดจบของกลียุคมาใกล้แล้ว

เมื่อโลกถึงกลียุค  เชื่อว่าพระศิวะ หรือพระอิศวร จะทรงเปิดพระเนตรดวงที่อยู่กลางหน้าผากมากขึ้น  และโลกจะถูกทำลาย เพื่อคืนสมดุลให้เกิดการสร้างโลกขึ้นใหม่

กลียุคไม่ได้กำหนดเป๊ะ ๆ เหมือนปฏิทินชาวมายัน

แต่มันก็น่าจะใกล้เข้ามาแล้วละ  โลกก็ร้อนจะบ้าตาย  พระอิศวรคงเริ่่มลืมพระเนตรปรือ ๆ แล้ว

ยุคใหม่อาจจะหมายถึงเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่  หมุนกลับไปเริ่มที่พระพรหมกันอีกที

เอาเถอะ  ถ้าจะต้องรบกวนพระพรหมแน่แล้ว  ก็ฝากข่าวไปถึงพระพรหมสักหน่อยก็แล้วกันว่า  สร้างมนุษย์เวอร์ชั่นใหม่  ขอเน้นๆ เรื่องจิตสำนึกหน่อย  เที่ยวที่แล้วมันเจือจางจัง  บางคนดูเหมือนจะขาดหายไปเลยเชียวละ  หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ

จนชักไม่แน่ใจว่าฝีมือพระพรหม  หรืออสูรสร้างมากันแน่



วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

เก่าไป...ใหม่มา

เก่าไป...ใหม่มา


เก่าไป...ใหม่มา  อะไรที่เก่า  เลิกใช้  ตกยุค  ก็กลายเป็น...โบราณ

ในพจนานุกรม  จะมีบางคำที่วงเล็บ (โบ) ไว้ข้างท้าย  หมายความว่าเป็นคำโบราณที่เลิกใช้กันไปนานแล้ว  อาจจะมีปรากฏอยู่ก็แต่ในหนังสือเก่า ๆ คนรุ่นเราส่วนมากไม่เคยรู้จัก

ส่วนคำ หรือสำนวนในสมัยนี้  ที่เรารู้จักและเคยใช้กันอยู่  หลายคำก็มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นคำโบราณไปในไม่ช้า  อย่างเช่น

สัมมาคารวะ  คำนี้ระยะหลัง ๆ ทำท่าว่าจะเสื่อมความนิยม   คนสมัยก่อนสั่งสอนกันมาแต่เล็กแต่น้อยให้มีสัมมาคารวะ  ยกย่องคนที่สูงกว่า ด้วยชาติวุฒิ  วัยวุฒิ คุณวุฒิ  แต่ยุคนี้ไม่สนใจไยดีแล้ว  การแสดงออก  และคำพูดจาแสดงออกชัดเจนว่าไม่เคยมีใครสั่งสอนหรือสอนแล้วไม่จำ  คำว่าสัมมาคารวะจึงไม่มีในจิตสำนึก  จะวุฒิไหนก็ไม่เคยรับรู้  อยากก้าวร้าวหยาบหยามผู้ที่สูงกว่าด้วยประการทั้งปวงก็แสดงออกมาได้  ไม่สะดุ้งสะเทือน  ไม่รู้สึกผิด  ส่วนคนที่รู้เห็น  ได้ยินได้ฟัง จะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ขึ้นอยู่กับว่าเคยได้รับการสังสอนอบรมกันมามากน้อยแค่ไหน



รักนวลสงวนตัว  สำนวนนี้เคยเป็นคุณสมบัติของผู้หญิงดีๆ สมัยก่อน  แต่มาถึงสมัยนี้ก็กำลังจะหายไปอย่างรวดเร็ว  เพราะผู้หญิงยุคใหม่ไม่รักไม่สงวนอะไรกันแล้ว

สมัยก่อนเคยมีคำกล่าวเชิงปรามาสผู้ชายบางคนว่า "ไม่ได้เห็นขาอ่อน"  คือไม่มีหวังได้เชยชมสาวเจ้า  เพราะขาอ่อนเป็นของสงวน  ไม่เปิดให้ใครเห็นง่าย ๆ แต่สมัยนี้ถือว่าขาอ่อนเป็นของสาธารณะ  ใครอยากดูก็ดูได้ทุกที่  ทุกเวลา  ไม่มีการสงวนอะไรไว้อีกต่อไป  มีแต่เชื้อเชิญ

แต่สำนวนที่กลับมาอยู่ในสมัยนิยมคือ "ชิงสุกก่อนห่าม"  ถึงขนาดที่มีการรณรงค์ให้เก็บอีกนิด  สงวนไว้อีกหน่อย ก็ยังยั้งไม่หยุดฉุดไม่ไหว  จนเมืองไทยเป็นเจ้าของสถิติมีแม่วัยรุ่น  ตั้งครรภ์ไม่พร้อมเป็นอันดับหนึ่้งในเอเซีย


อาย  คำกล่าวโบราณๆ อีกเหมือนกัน  กล่าวว่า  ความอายเป็นอาภรณ์ของสตรี  แต่ตอนนี้ผู้หญิงยุคใหม่  สลัดทิ้งทั้งอาภรณ์และความอาย  มีแต่กล้า  กล้าพูด กล้าแสดง  กล้า ฯลฯ จะรักใครเกลียดใครต้องแสดงออกให้สุด ๆ เหมือนมนุษย์ยุคหินเก่า  ไม่ใช่มนุษย์ที่ผ่านวิวัฒนาการมานานนักหนา

ไม่เฉพาะสาว ๆ ที่เลิกอาย  คนใหญ่คนโตระดับประเทศก็ดูเหมือนเลิกอายกันไปหมด  ทำผิดทำชั่ว  คนจับได้ไล่ทันทวงถามความรับผิดชอบก็ทำไม่รู้ไม่ชี้  หาเรื่องแก้ตัวไปได้น้ำขุ่นคลั่ก  ใครอยากวิพากษ์วิจารณ์  ตั้งฉายาอะไร  ยังไง  ไม่สนใจ...ไม่อายเสียอย่าง  ใครจะทำไม

ส่วนตัวอักษรไทยที่เราเคยเรียนมา  มี ๔๔ ตัว  บางตัวอาจกลายเป็นอักษรโบราณ  ที่น่าจะคงอยู่ได้ไปอีกนาน  เห็นจะเป็นอักษร  เพราะยิ่งนับวัน คนไทยยิ่งเคยนิยมการขอ  สนองนโยบายพี่มีแต่ให้  แต่เงินของใครพี่ไม่สน  ส่วนอักษรที่คงจะต้องหายไป  คืออักษร   เพราะยิ่งขอยิ่งได้  แต่ให้เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ

ถึงจะรู้ว่าทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง  แต่การเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็น่าใจหาย






วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

ประมาทไปนิด...ถ้าคิดแต่บวก

ประมาทไปนิด...ถ้าคิดแต่บวก


คิดบวก  หรือมองโลกแง่ดี  บางทีก็อาจเป็นความประมาท

ก็โลกนี้มันมีแต่แง่บวกเสียเมื่อไหร่  ยิ่งนับวันก็ยิ่งมีด้านร้ายด้านลบแอบแฝงอยู่ที่นั่น ที่นี่ ที่โน่นเยอะแยะไปหมด

และว่าที่จริงโลกนี้ก็ไม่ได้มีเฉพาะแง่บวก กับลบ แต่ยังมีคูณ หาร ยกกำลัง ฯลฯ เพราะฉะันั้น  ขืนมองอะไรง่ายๆ คิดอะไรตื้น ๆ เหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน  ก็อาจเป็นเหยื่อคนที่คิดลึกลับซับซ้อน  ซึ่งทุกวันนี้มีอยู่มากมาย




ทางที่ดี  มาลองมาคิดแบบหมวกหกใบ  คิดหกแบบ  เอาไว้บ้างก็ดี

หมวกหกใบเป็นทฤษฎีการคิดที่เปรียบเทียบวิธีคิดเป็นหมวกสีต่าง ๆ ครอบอยู่บนหัวหรือครอบงำความคิดของคนเรา

สีขาว  คือคิดแบบตรงตามความเป็นจริง  เหมือนส่องกระจกใสแจ๋ว  มองอะไรก็เห็นอย่างนั้น  แค่นี้ก็ยากแล้ว  เพราะขนาดส่องกระจกบางทียังหาว่ากระจกหลอกเลย


สีเหลือง  สีแห่งความสว่างไสว  ใบนี้แหละคิดบวก  อะไรๆ ก็ดีไปหมด  หลับตาเสียข้างหนึ่ง  ไม่ยอมมองแง่ร้าย  โลกนี้มีแต่สีทองผ่องอำไพ  โลกของหนู่ช่างสดใสเสียจริง

สีดำ  ความมืดที่อาจมีอะไรแอบซ่อนอยู่  ตรงข้ามกับสีเหลืองเลย  คือคิดด้านลบ  ที่บางคนบอกว่าอย่าคิด  แต่พุทธศาสนาสอนให้คิด  คือตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

หัดคิดแง่ที่ร้ายเอาไว้บ้าง  จะได้รู้จักระแวดระวัง  ไม่มัวแต่หลงระเริง  บางคนหาว่าวิตกจริต  แต่คิดมากก็ดีกว่าไม่มีความคิดนะ  เป็นต้นว่าถ้าคิดจะกู้เงินเขามาก็ต้องคิดว่า  ถ้าไม่มีปัญญาใช้จะทำยังไง  ถ้าคิดแต่จะแสวงหาอำนาจ  ก็ลองคิดว่าได้มาแล้วจะมีปัญญารักษาไว้ได้นานแค่ไหน  แล้วถ้าหมดอำนาจแล้วจะเป็นยังไง

อย่างน้อยก็หัดเจริญมรณานุสติเอาไว้บ้าง  เป็นความคิดลบ  แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ หนีไม่พ้น

สีแดง  สีของไฟ  ร้อนแต่ก็มีพลัง  หมวกใบนี้  คืออารมณ์พอใจไม่พอใจ  อยากเปลี่ยนอะไร ๆ ให้ได้ดังใจ

สีเขียว  สีของต้นไม้ งอกงาม เติบโต  จะคานน้ำหนักของสีแดง  ด้วยการแก้ไขอย่างสร้างสรรค์  เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีขึ้นกว่าเดิม

สีฟ้า  คือท้องฟ้าที่กว้างขวาง  ครอบคลุมทุกอย่าง  มองเห็นและเข้าใจ  เพื่อจะตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุด  หลังจากวิเคราะห์ปัญหาจนทะลุปรุโปร่ง

ลองสวมหมวกหลาย ๆ ใบ  คิดหลาย ๆ แบบ

อย่าสวมหมวกใบเดียว  คิดแต่บวกๆ ๆ แล้วก็หลอกทั้งคนอื่นและตัวเอง  ว่าทุกอย่างช่างแสนดี  ไม่มีปัญหา

ใครเชื่อก็คือ  ตั้งตนอยู่ในความประมาทอย่างยิ่งเลยละ