กฏหมายปิดปาก
สำนวนก็เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เกิดขึ้น มีอยู่ แล้วก็อาจจะหมดไป เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป
เป็นต้นว่า สำนวนเกี่ยวกับเรื่องการพูดจา ในสมัยก่อนเก่า คนไทยมักจะสอนให้ยับยั้งเรื่องพูด ให้คิดให้รอบคอบก่อนพูด เพราะพูดออกไปแล้วเอาคืนไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่สมัยก่อนก็ไม่ได้มีคลิปวีดีโอให้คนแอบถ่ายแล้วเอามาเปิดประจานกันเหมือนสมัยนี้ แต่คนสมัยนั้น ถ้าพูดออกไปแล้วคนจับได้ว่าไม่จริง ส่วนมากก็มักจะอาย ต่างจากคนสมัยนี้ ต่อให้เอาคลิปมายันกันจะ ๆ ก็ไม่อาย
สำนวนเกี่ยวกับเรื่องการพูด ที่น่าจะเก็บเอามาวิเคราะห์วิจารณ์กันในวันนี้ ก็อย่างเช่น
"น้ำท่วมปาก" หมายถึงตกอยู่ในสภาวะพูดไม่ออกบอกไม่ได้เพราะมีอุปสรรคขัดขวางไว้ ทำนองเดียวกับ "กฏหมายปิดปาก" ที่ทำให้ไทยต้องสูญเสียปราสาทเขาพระวิหารไปเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว แ้ถมวันนี้ก็ยังถูกตอกย้ำให้ช้ำใจว่า ก็ตอนนั้นทำไมไม่พูด ไม่ค้าน การนิ่งก็คือการยอมรับ...สมน้ำมะหน้า
"พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง" สำนวนนี้ดูดีกว่าหน่อย เพราะไม่มีอะไรมาบีบบังคับ แต่ไม่พูดเพราะขี้เกียจพูด หรือคิดว่าพูดไปก็เท่านั้น ก็เลยถูกฝ่ายช่างพูดระดมใ่ส่ข้อมูล แย่งชิงความได้เปรียบไปสบาย ๆ กว่าจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา นึกได้ว่าน่าจะโต้แย้งคัดค้านบ้างก็เสียไปเยอะแล้ว จะมาพูดอะไรทีหลังก็เปล่าประโยชน์ ก็การนิ่งคือการยอมรับนี่นา สมน้ำมะหน้า...อีกที
"ปากเป็นเอก" มีตัวอย่างให้เห็นโดดเด่นมากในสมัยนี้ ประเภทใช้ปากอย่างเดียว สร้างเรื่องราวสารพัด ทั้งปั้นน้ำเป็นตัว ปลุกระดมมวลชน ฯลฯ ไต่่บันไดฝัน ก้าวกระโดดขึ้นไปเป็นใหญ่เป็นโตมโหฬารแทบไม่น่าเชื่อ ทั้ง ๆ ที่ความรู้ก็ไม่มี ความดียิ่งไม่ปรากฏ แปลกแต่จริง
"พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย" สำนวนนี้ดูท่าจะตกยุค เพราะสมัยนี้พูดดีไม่ค่อยมีคนฟัง ตรงข้ามกับคนพูดชั่วกลับได้ดี เป็นงั้นไป
"ปลาหมอตายเพราะปาก" สำนวนนี้ หมายถึงมีปากก็พูดไปเรื่อย จริงบ้างไม่จริงบ้าง สร้างเรื่องอะไรต่อมิอะไรเป็นตุเป็นตะ ตอนนี้คนประเภทปากปลาหมอนี่ก็มีอยู่เยอะ ทั้งในประเทศนอกประเทศ ขยันยื่นปาก เสนอหน้าออกสื่อบ่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ตาย ทั้ง ๆ ที่มีคนแช่งให้ตายอยู่ทุกวัน
"น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก" สำนวนนี้ คล้าย ๆ "หน้าไหว้หลังหลอก" "ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก" อะไรประมาณนั้น พอใจไม่พอใจก็เก็บอาการ ไม่แสดงออกมา ต่อหน้าก็ยิ้มหวานจับมือกัน แต่ลับหลังนินทาไฟแลบ ดีไม่ดี ซ่อนมีดไว้แอบแทงข้างหลังให้ดับดิ้นสิ้นใจไปเลย เหมือนสำนวนจีันที่ว่า ซ่อนดาบไว้ในรอยยิ้ม น่ากลัวนะเนี่ย คนแบบนี้ในสังคมเราก็มีเยอะเสียด้วยซิ
"แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร" ไม่รู้ว่าสำนวนนี้จะสมควรเก็บไว้สอนลูกหลานกันหรือเปล่า แต่ก่อนแต่ไรเมืองไทยก็เป็นเมืองพระ เมืองพุทธ ยอม ๆ หยวน ๆ กันไป สังคมไทยก็สุขสงบดี ตอนนี้มารเลยชนะ ครองบ้านครองเมืองกันไปหมดแล้ว ขนาดระดมสวดมนตร์ทำบุญประเทศกันยกใหญ่ไม่รู้จักกี่ครั้ง สมุนพญามารก็ยังเหิมเกริม สูบเลือดสูบเนื้อคนไทยกันไม่ลดละ
เมื่อห้าสิบปีก่อน คนไทยเผชิญกับกฏหมายปิดปาก ทำให้ต้องจำยอมเสียดินแดน
มาถึงวันนี พลพรรคมาร ก็กำลังช่วยกันเข็นกฏหมายมาปิดปากคนไทยกันอีก
ทั้ง พ.ร.บ.เงินกู้ ที่จะทำให้คนไทยกลายเป็นทาสเศรษฐกิจกันไปชั่วลูกชั่วหลาน ทั้งกฏหมายปรองดอง นิรโทษกรรม ที่จะช่วยปลดปล่อยพลพรรคมารให้ออกมาอาละวาด สร้างเวรสร้างกรรมให้บ้านเมืองไทยกันขนานใหญ่
ถ้าคนไทยยังถือคติ "แพ้เป็นพระ" ก็คงต้องเตรียมใจ เพราะดูท่าว่า เราอาจหนีไม่พ้น อุ้งมือมาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น