วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พยาน

พยาน


เพราะซาตานจอมหลอกลวงถูกสาปให้ตามอาดัมกับอีฟมาอยู่ในโลกมนุษย์  เรื่องหลอก ๆ ลวงๆ จึงน่าจะมีอยู่คู่โลกมานมนานนักหนา  และเป็นสาเหตุที่ทำให้การพิสูจน์ความจริง  ต้องมีการอ้างพยานหลักฐาน

แต่พยานหลักฐาน หรือพยานบุคคล  ก็ยังถูกทำให้บิด ๆ เบี้ยว ๆ มาตั้งแต่สมัยไหน ๆ แล้วเหมือนกัน  ในกฏหมายตราสามดวงจึงมีการพิสูจน์อีกแบบหนึ่ง  ในกรณีที่หาหลักฐานพยานไม่ได้  หรือไม่น่าเชื่อถือ ก็คือ  การพิสูจน์ด้วยการดำน้ำลุยไฟ

เพราะความเชื่อแต่โบร่ำโบราณ เชื่อว่าอันกรรมดีชั่วทั้งหลาย  ถึงจะไปแอบทำลับหูลับตา  ไม่มีใครรู้เห็น  แต่เทวดาฟ้าดินย่อมรับรู้  แล้วก็จดบันทึกทำบัญชีเอาไว้เช็คบิลตอนท้่าย

ก็เหมือนที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาตั้งเป็นพัน ๆ ชาติ  จนจะบรรลุพระโพธิญาณอยู่แล้ว  แต่พญามารก็ยังตามมาผจญ  พระพุทธเจ้าต้องอ้่างฟ้าดินเป็นพยานเพราะพยานที่รู้เห็นจริง ๆ ในแต่ละชาติ  ตายไปเกิดกันคนละทิศละทางหมดแล้ว

แล้วแม่พระธรณีก็ผุดขึ้นมาบีบน้ำในมวยผมให้พญามารดูให้จะจะว่าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาขนาดไหน  เพราะความเชื่อของพราหมณ์  เวลาทำบุญเขาจะหลั่งน้ำลงแผ่นดิน  ซึ่งเป็นที่มาของการกรวดน้ำในปัจจุบันนี้แหละ

ซึ่งน้ำจากมวยผมแม่พระธรณีที่สะสมมาจากการทำบุญของพระพุทธเจ้าก็ไหลพลั่ง ๆ จนกลายเป็นอุทกภัยกวาดพลพรรคพญามารเสียราบเรียบ

ในเรื่องรามเกียรติ์ก็มีการพิสูจน์ด้วยการลุยไฟ  เนื่องจากนางสีดาถูกทศกัณฐ์ลักพาไปอยู่ลงกาเสีย ๑๔ ปี  กว่าพระรามจะทำสงครามเอาชนะทศกัณฐ์ได้  ทำให้คนเม้าท์กันให้แซ่ดทำนองว่าไปอยู่นานขนาดนั้น  มิ่หนำซ้ำทศกัณฐ์ก็มีมือไม้ออกยุ่บยั่บ  แล้วมันจะเหลือเร้อ...

นางสีดาจึงต้องพิสูจน์ด้วยการลุยไฟให้มันรู้กันไปว่า  ยี่ห้อสีดา  ทนไฟ  รับประกันได้

ซึ่งก็ช่วยสยบเสียงเม้าท์ไปได้พักใหญ่  แถมยังเป็นที่ประทับใจผู้ชมจนมีคนเอาตั้งชื่อเมนูเด็ดว่า สีดาลุยไฟ  ก็คือ ผักบุ้งไฟแดง

ส่วนในเรื่อง ขุนช้างขุนแผน  ก็มีตอนที่นางสร้อยฟ้าทำเสน่ห์พระไวยให้หลงหัวปักหัวปำ  ขนาดขุนแผนเสกกระจกส่องหน้าให้ดูก็ยังไม่ยอมเชื่อ  หาว่าขุนแผนเล่นกล  จนขุนแผนน็อตหลุดจะทุบกระโหลกให้หายเจ็บใจ  แต่นางทองประศรีก็ขวางเอาไว้

ขุนแผนก็เลยหาวิธีล้างแค้นด้วยการออกอุบายปลอมเป็นมอญยกทัพมาเพื่อหลอกให้พระไวยออกไปรบ  จะได้เล่นงานเสียให้น่วม  แต่พระไวยก็อาศัยความเชี่ยวหลุดรอดไปได้  ท้ายสุดก็เลยต้องมาจบที่ศาลพระพันวษา

แต่ก็สอบสวนทวนความไม่ได้  เพราะไม่มีพยานหลักฐาน  เลยต้องโยนไปให้เทวดาฟ้าดินช่วยตัดสินด้วยการให้สร้อยฟ้า กับศรีมาลาลุยไฟ

 ซึ่งก็ปรากฏว่า  นางศรีมาลาก็ทนไฟแบบเดียวกับนางสีดา  ส่วนนางสร้อยฟ้า  ของปลอมแถมไมได้ใช้บัวหิมะทากันไว้ก่อน  ก็เลยโดนไฟเผาเกือบจะกลายเป็นเนื้อย่างน้ำตก


นอกจากลุยไฟ  ยังมีการดำน้ำ  อย่างตอนพระไวยเป็นความกับขุนช้าง  ก็ใช้วิธีดำน้ำพิสูจน์  ซึ่งขุนช้างก็แพ้  อันนี้ดูจะโหดน้อยกว่า  เพราะอย่างมากก็แค่สำลักน้ำ  ไม่ถึงกับดิบ ๆ สุก ๆ แบบลุยไฟ

การตัดสินด้วยการดำน้ำลุยไฟ  ในกฏหมายตราสามดวงมีรายละเอียดเกี่ยวกับพิธีกรรม  พิธีการไว้มากมาย  เช่น ก่อนจะเริ่มพิธีก็ต้องควบคุมตัวไว้ ให้นุ่งขาวห่มขาวรักษาศีล  สงบสติอารมณ์ หรือเพื่อสร้างความเครียดไว้ชั้นหนึ่งก็ไม่รู้ได้


พอถึงเวลาประกอบพิธี  พราหมณ์ก็จะอ่านโองการเชิญเทวดามาเป็นสักขีพยาน  แถมด้วยการสาปแช่งอย่างดุเดือดให้คนผิดต้องพ่ายแพ้พินาศไปทันตาเห็น  เป็นต้นว่า  ลุยไฟก็จะถูกไฟกาฬเผาผลาญ  ดำน้ำก็จะเจอตัวประหลาดน่าขนพองสยองเกล้าฯลฯ   ซึ่งในช่วงเวลาเหล่านี้  คนที่รู้ตัวอยู่ว่าผิด  แถมจิตอ่อน ก็อาจเครียดจนสติแตกได้ง่าย ๆ บางทีไม่ทันดำนำ้ลุยไฟก็ยอมสารภาพออกมาเองด้วยซ้ำไป

เพราะคนสมัยก่อน  จะชั่วดียังไง  ก็ยังเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ

ทุกวันนี้  กฏหมายตราสามดวงก็เลิกใช้ไปแล้ว  ข้าราชการบางเหล่ายังมีการถวายสัตย์  ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยา  ซึ่งมีการอ่านโองการแช่งน้ำ  แช่งชักหักกระดูกคนทรยศให้หอกเท่าใบพายแทงหูซ้ายทะลุหูขวา

แต่คนฟังโองการก็ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเพราะสมัยนี้เขาเลิกเชื่อเรื่องบาปกรรมไปแล้ว แข่งได้ก้แข่งไป

นอกจากดำน้ำลุยไฟ  ในกฏหมายตราสามดวงก็ยังมีการพิสูจน์อีกหลายวิธี  วิธีหนึ่งก็คือให้สาบาน  ซึ่งเดี่๋ยวนี้  แม้กฏหมายตราสามดวงจะเลิกไปแล้วก็ยังมีคนชอบใช้วิธีนี้เพราะง่ายดี


พระแก้วมรกต กับพระสยามเทวาธิราช  จึงมักถูกอ้างอิงเป็นพยานอยู่บ่อย ๆ ด้านหนึ่งก็คือ หวังจะอาศัยเครดิตทำให้คนเชื่อถือ  แต่อีกด้านหนึ่งก็เหมือนดิสต์เครดิตเทวดา  เพราะหลายเรื่องที่สบถสาบาน  ฟังยังไง ๆ ก็ไม่น่าเชื่อ  เอายี่ห้อเทวดามารับประกันให้เสียสถาบันเปล่าๆ

อย่างไรก็ตาม  เชื่อได้ว่าบรรดาพยานเทวดาเหล่านั้น  ท่านก็คงเก็บข้อมูลไว้...เพียบ

คงต้องรอดูว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาที่เทวดาฟ้าดินจะประมวลผล  เช็คบิล...

ถึงจะช้าไปสักหน่อย  ไม่ทันใจท่านผู้ชม  แต่คิดว่ามาตรฐานเทวดา  น่าจะเชือ่ถือได้































วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เล่ห์กล...มนตร์คาถา

เล่ห์กล...มนตร์คาถา


 "ไม่ได้ด้วยเล่ห์ต้องเอาด้วยกล  ไม่ได้ด้วยมนตร์ต้องเอาด้วยคาถา"

เป็นภาษิตประจำใจของคนที่จะเอาให้ได้  และใช้ทุกวิถีทางให้ได้มาโดยไม่คำนึงถึงความผิดชอบ ชั่วดี

พูดถึงเล่ห์กล  มนตร์คาถา  ทำให้คิดถึงปู่เจ้าสมิงพรายจอมขมังเวทย์ในเรื่องพระลอ

พระลอเป็นกษัตริย์หนุ่มแห่งเมืองสรวงซึ่งรูปหล่อมากมาย  หล่อเสียจนบรรดาศิลปินทั้งหลายแหล่นำไปแต่งเพลง  เปิดคอนเสิร์ตที่ไหนก็บรรเลงเพลงยอยศพระลอ  ก็ที่นักร้องลูกทุ่งเอามาร้อง "รอยรูปอินทร์หยาดฟ้า  มาอ่าองค์ในหล้าแหล่งให้คนชม...." นั่นแหละ


แล้วเพลงพระลอก็ฮิตติดอันดับ  เผยแพร่กันต่อๆ ไป  จนได้ยินไปถึงสองสาว พระเพื่อนพระแพง  แห่งเมืองสรอง  ซึ่งกำลังวัยรุ่น  ก็เลยเกิดอาการคลั่งดารา  อยากเห็น อยากได้พระลอเอามาก ๆ

ข้างพี่เลี้ยงสองสาว  แทนที่จะห้ามปราม  ก็กลับสนองตามสไตล์คนรับใช้ในฝัน  พยายามหาวิธีการให้ได้ตามต้องการ  ครั้นจะทอดสะพานเชื้อเชิญกันไปตามแบบแผนประเพณีก็เป็นไปไม่ได้  เพราะไทเฮาแห่งเมืองสรองผู้เป็นย่า  ถือว่าเมืองสรวงเป็นศัตรูคู่อาฆาต  เนื่องด้วยสวามีสิ้นพระชนม์เพราะทำสงครามกับเมืองสรวงนี่แหละ



จึงต้องอาศัยเล่ห์กล  มนตร์คาถา  อย่างที่ว่า

สองพี่เลี้ยงก็เที่ยวเสาะแสวงหาหมอเสน่ห์  เพื่อเรียกให้พระลอเดินทางมาเมืองสรอง

แต่บรรดาหมอเสน่ห์ทั้งหลายแหล่  พอได้ยินว่าจะให้ทำเสน่ห์พระลอ  ก็ล้วนแต่ส่ายหัว  ไม่เอาด้วย

เหตุผลก็คือ  เพราะพระลอเป็นกษัตริย์  คนที่เป็นกษัตริย์ก็ย่อมมีบุญบารมีมาก  การทำเสน่ห์  หรือทำอะไรที่ไม่ดีกับคนมีบุญบารมี เชื่อกันว่า นอกจากจะไม่สำเร็จแล้วยังจะสะท้อนเข้าตัว  ยิ่งมีบุญบารมีมาก  ผลก็จะสะท้อนกลับ เร็ว...และ  แรง

พี่เลี้ยงสองสาวก็ไม่ละความพยายาม  ดั้นด้นไปจนเจอปู่เจ้าสมิงพราย  ซึ่งเรียกได้ว่า  เป็นสุดยอดหมอผี  มีคาถาอาคมแก่กล้าที่สุด แล้วก็อ้อนวอนจนสำเร็จ..



เหตุที่ปู่เจ้าสมิงพรายตกลงใจรับงาน  ไม่ใช่เพราะใจอ่อน  หรือเห็นเงินแล้วตาโต  แต่เป็นเพราะสแกนกรรมแล้วพบว่า  พระลอ พระเพื่อน  พระแพงนั้น  เคยทำบุญร่ีวมกันมา  เป็นเหตุให้พระเพื่อนพระแพงเกิดปิ๊งพระลอเสียหนักหนาทั้งที่ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตา

แต่ถ้าทำบุญร่วมกันมาดีๆ บุพเพสันนิวาสก็คงชักพาให้ได้เป็นคู่กันดี ๆ เผอิญบุญที่ทั้งสามคนทำไว้ เป็นบุญที่ "ตึงๆ หย่อนๆ"  ก็เลยเป็นเหตุให้ความรักของพระลอ กับพระเพื่อนพระแพง  เป็นแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ

ด้วยเหตุนี้แหละ  ปู่เจ้าก็เลยจัดให้

ด้วยการเสกสลาเหิน  คือหมากบิน  ไปเร่งให้พระลอร้อนรนกระวนกระวายต้องออกจากเมืองสรวง  แล้วก็ส่งไก่แก้วให้ไปนำทาง  จนพระลอข้ามแม่น้ำกาหลงมายังเมืองสรอง  ดินแดนของศัตรูคู่อริ


แล้วท้ายที่สุด  ทั้งสามคน คือพระลอ พระเพื่อน พระแพง  ก็ได้ใช้บุญ  มีความสุขด้วยกันหน่อยหนึ่งก่อนจะใช้กรรมคือถูกจับได้  แล้วก็โดนสังหารหมู่ตายไปด้วยกัน  รวมทั้งนางพี่เลี้ยงจอมวางแผนด้วย

เรื่องของการจะเอาอะไรต้องเอาให้ได้  ไม่ต้องคำนึงถึงความผิดถูก  รวมทั้งไม่คิดถึงผลที่จะตามมา  ถ้ามองแบบคนเชื่อกฏแห่งกรรม  ก็คงเหมือนที่พระลอบอกพระนางบุญเหลือ  ว่า



ถึงกรรมจักอยู่ได้       ฉันใด  พระเอย
กรรมบ่มีมีใคร            ฆ่าข้า
กุศลส่งสนองไป        ถึงที่  สุขนา
บาปส่งจำตกช้า        ช่วยได้ฉันใด

แปลง่าย ๆ ก็คือ  สุดแต่เวรกรรม  ถึงเวลาใครก็ห้ามไม่ได้  ทำกรรมอย่างไรก็คงต้องได้อย่างนั้นแหละ

แต่ถ้ามองในแง่บรรดาหมอเสน่ห์ทั้งหลาย  ก็สะท้อนความเชื่ออีกด้านหนึ่ง  คือความเชื่อว่าการทำอะไรที่ไม่ดีกับคนที่มีบุญบารมีมากนั้น  ผลจะย้อนกลับมาหาตัวเอง

เผอิญพระลอ  ทำบุญไว้แบบ "ตึง ๆ หย่อนๆ"  ถึงจังหวะเวลาที่บุญมันหย่อน  กรรมก็เลยแซงหน้า

แต่ถ้าไปล่วงล้ำก้ำเกินกับคนดี  คนที่สั่งสมบุญบารมีไว้มั่นคงยาวนาน
ผลมันจะย้อนกลับมาหาตัวเอง  เร็ว และแรง..ยิ่งกว่าบูมเมอแรง

เรื่องแบบนี้  ไม่เชื่ออย่าลบหลู่







วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สุดยอดวิทยายุทธ์

สุดยอดวิทยายุทธ์





กวีมีหลายประเภท  สุนทรภู่ จัดว่าเป็นจินตกวี  เพราะเป็นนักคิดนักฝัน  เขียนเรื่องจากจินตนาการเป็นส่วนใหญ่  และจินตนาการของสุนทรภู่ก็ล้ำหน้า  นำสมัยกว่าคนในยุคเดียวกัน

ความคิดฝันของสุนทรภู่ในยุคนั้น  หลายอย่างเพิ่งมาปรากฏให้เห็นในยุคนี้  เป็นต้นว่า  บรรดานางเอกที่ฉีกภาพนางในวรรณคดีงามเสงี่ยม  มาเป็นนางเอกแสบซ่า  หลากสไตล์ อย่างสุวรรณมาลี "มเหสีขี้หึงประหนึ่งเสือ"  นางละเวงโฉมงามเจ้าเสน่ห์ที่ใช้สารพัดเล่ห์กลเพื่อชัยชนะ  ไปถึงนางเอกรุ่นลูก อย่างเสาวคนธ์ที่เล่นหัวคลุกคลีกับสุดสาครมาแต่เด็ก จนเกือบจะกลายเป็นทอม...

แนวคิดที่น่าสนใจ  นำสมัยล้ำยุคอีกอย่างหนึ่งก็คือการสร้างพระเอกให้เป็นเด็กกิฟเต็ททางดนตรี


พระอภัยมณีเริ่มค้นพบตัวเองตั้งแต่แรกว่าไม่อยากเรียนสรรพวิชาที่บรรดาลูกกษัตริย์ทั้งหลายเขาเรียนกัน  เป็นต้นว่า  วิชาหนังสือ การรบ หรือการปกครอง ก็เลยลาพระบิดาออกแสวงหาอาจารย์  ในที่สุดก็ไปเจอสำนักที่เปิดสอนวิชาที่โดนใจ  คือวิชาดนตรี  แต่ก็เกือบหงายเก๋งเมื่อมองเห็นป้ายประกาศ  บอกราคาค่าลงทะเบียนเรียนสูงลิบลิ่วถึงแสนตำลึงทอง  เทียบกับสมัยนี้ก็น่าจะหลักล้าน

โชคดีที่พระอภัยมณีเป็นลูกกษัตริย์  พอมีสมบัติติดตัว  ก็เลยถอดแหวน  จ่ายเป็นค่าเล่าเรียน

ร่ำเรียนจนจบแล้วนั่นแหละ  พระอาจารย์ถึงได้เปิดใจให้เหตุผลว่าทำไมค่าเล่าเรียนถึงโหดนัก

"ซึ่งดนตรีตีค่าไว้ถึงแสน          เพราะหวงแหนกำชับไว้คับขัน
ใช่ประสงค์ตรงทรัพย์สิ่งสุวรรณ  จะป้องกันมิให้ไพร่ได้วิชา
ต่อกษัตริย์เศรษฐ๊มั่งมีทรัพย์       มาคำนับจึงได้ดังปรารถนา"

พระอาจารย์แกคงซึ้งกับ "ไพร่" เสียจนขยาด  ไม่อยากถ่ายทอดวิชาอะไรที่ดีๆ ให้  เพราะกลัวไพร่เอาไปทำเสียหายหมด

ก็เลยคิดแบบคนสมัยก่อนว่า  กษัตริย์เศรษฐี  ก็น่าจะมีพื้นฐานการอบรมมาดี  แถมเงินทองก็คงมีเยอะแล้ว  คงไม่เอาวิชาดี ๆ ไปใช้ทำมาหากิน  แสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ

นับว่ามีเหตุผลฟังได้ทีเดียว  ติดอยู่นิดหนึ่งก็ตรงที่ว่า  พระอาจารย์อาจจะคิดผิดว่าคนรวยแล้วจะไม่โกง  เพราะความจริงที่เห็นทุกวันนี้  ยิ่งรวยก็ยิ่งโกง

วิชาทั้งหลายนั้น ก็เหมือนอาวุธ ใช้ดีก็มีคุณอนันต์  แต่ถ้าใช้ไม่ดีก็มีโทษมหันต์

เหมือนที่พระอภัยมณีบอกกับสามพราหมณ์ว่า
"อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป    ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
ทั้งมนุษย์ครุฑาเทวราช         หมู่สัตว์จตุบาทในไพรสินฑ์
แม้ปี่เราเป่าไปใครได้ยิน        ก็สุดสิ้นโมโหที่โกรธา"

เพลงปี่พระอภัยใครได้ยินก็หลงใหลใจอ่อน  พระเอกเรื่องนี้ก็ชนะใจบรรดาสาว ๆ เพราะเสียงปี่ออดอ้อนราวกับพระเอกยี่เกอ้อนแม่ยก  แม้แต่นางละเวงซึ่งตั้งใจมาล้างแค้น  ก็ยังตกหลุมรักพระเอกศิลปิน

ในตอนจบเรื่อง  เมื่อทั้งสองฝ่ายรบกันจนหมดแรง  พระอภัยก็ใช้เสียงปี่นี่แหละกล่อมให้คนคิดถึงบ้าน เลิกรบราฆ่าฟัน  ยุติสงครามได้

แต่เพลงปี่พระอภัยไม่ใช่แค่อ้อนให้คนหลง ในเวลาคับขันก็กลายเป็นเสียงปี่สังหาร  ก็ตอนที่พระอภัยเป่าปีสังหารนางผีเสื้อสมุทรนั่นยังไง

ดีที่พระอภัยมีพื้นฐานไม่ต่ำช้า  เลยใช้เฉพาะเมื่อเข้าตาจน ไม่ได้ใช้พร่ำเพรื่อไปทั้งเรื่อง  ไม่อย่างนั้น  เรื่องพระอภัยมณีจะกลายเป็นหนังกำลังภายใน  ไม่พอใจใครก็งัดปี่ออกมาเป่าให้ตาย ๆ  ไปให้หมด

คนที่ชอบดูหนังจีนประเภทกำลังภายใน  จะเห็นว่า บรรดาปรมาจารย์ผู้เยี่ยมบุทธ์ทั้งหลายก็เหมือนอาจารย์พระอภัยนี่แหละ  แต่ละคนล้วนหวงวิชา  กว่าจะรับเป็นศิษย์ได้ก็ต้องตรวจสอบกันหลายยก  คนที่จะได้เรียนสุดยอดวิชาทั้งหลายจึงต้องมีคุณสมบัติไม่ต่ำช้าเหมือนกัน  ก็แล้วแต่ว่าสำนักไหนต้องการลูกศิษย์แบบไหน  แต่ที่แน่ ๆ คือ  ไม่ใช่อยากเรียนก็ เิดินเข้าไปเรียนเหมือนตลาดวิชา


ไม่เหมือนยุคปัจจุบันที่มีสารพัดวิชาให้เรียนได้อย่างเสรี  แจกปริญญากันเป็นว่าเล่น  คนดี คนต่ำช้า  ก็เรียนวิชามาเหมือนกัน

เราจึงเห็นคนมีวิชาแต่ไร้คุณธรรม  เกลื่อนเมือง

นั่งดูข่าวทุกวันนี้แล้วอัศจรรย์ใจ  เออแน่ะ...ช่างสรรหาวิธีการมาคดโกง  ทุจริตกันได้สารพัด  ล้วนแต่คนเก่งกาจทั้งนั้น

เก่งเทคโนโลยี  ก็สร้างนวัตกรรมไปใช้ก่ออาชญากรรม  ทำลายล้างกันเป็นว่าเล่น
เก่งคอมฯ ก็หาวิธีพลิกแพลง  ขโมยข้อมูล  สร้างไวรัส  ทำเว็บเลวร้ายได้ต่าง ๆ
เก่งธุรกิจ  ก็พิฆาตฟาดฟัน  เชือดเฉือนกันทางธุรกิจ  แบบใครดีใครอยู่


ไม่ว่าเก่งอะไร  อยู่ในวงการไหน  โกงได้ทุกเรื่อง

ที่เก่งกาจน่าประทับใจที่สุดตอนนี้  น่าจะได้แก่นักกฏหมายเมืองไทย  ที่ล้วนแต่เรียนจบจากสำนักชั้นยอดแต่นำวิชาความรู้มาใช้แบบวิปริตผิดประหลาดชนิดที่อาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาก็คงคิดไม่ถึง

เป็นนักกฏหมาย  แต่้ช่วยคนทำผิดกฏหมาย  กลับผิดให้เป็นถูก  ทำชั่วให้เป็นดี

ยิ่งไปกว่านั้น  เมื่อกลับผิดให้เป็นถูกไม่ได้  ก็แก้กฏหมายมันเสียเลย

สุดยอดวิทยายุทธ์จริงๆ !!!

นับเป็นการประยุกต์ใช้ความรู้  แบบไร้เทียมทาน...

นี่คือความผิดพลาดของการศึกษาไทย...อีกแล้ว  แนวคิดเรื่อง การสอนความรู้คู่คุณธรรม  เพิ่งมาคิดกันได้เมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง

ต่อเมื่อเรามีคนมีความรู้  แต่ไม่มีคุณธรรมเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด
แล้วมันจะทันการณ์ไหมเนี่ย...

นี่แหละ...เพราะไม่เคยอ่านเรื่องพระอภัยมณี  หรืออ่านแล้วแต่ไม่รู้จักเก็บไปคิด






วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ค่านิยม...สังคมไทย

ค่านิยม...สังคมไทย



เรื่องของความชอบ ไม่ชอบ  เป็นเรื่องรสนิยมของแต่ละบุคคล  ซึ่งก็คงไม่มีใครอยากจะไปเดือดร้อนอะไรด้วย  เพราะต่างคนก็ต่างจิตใจ


ภาษิตโบราณก็มีว่า "ลางเนื้อชอบลางยา" ของที่คนหนึ่งว่าดี  อีกคนหนึ่งอาจจะว่าไม่ดี  ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรแต่ถ้าคนมีรสนิยมเหมือนๆๆๆ กัน  เป็นส่วนใหญ่  มันก็จะกลายเป็น "ค่านิยม" แล้วทีนี้แหละ  ที่มันเริ่มจะเป็นเรื่อง  เพราะค่านิยมมันสะท้อนตัวตนคนในสังคม



ค่านิยม ของคนไทยนั้น  เขาวิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์กันมาพอสมควร  ก็พบว่ามันสะท้อนอะไร ๆ หลายต่อหลายอย่าง  และบางอย่างมันก็เป็นเหตุปัจจัยให้สังคมไทยเราเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี่แหละ


ยกตัวอย่างเช่น คนไทยขอบคนรวย จะอวยชัยให้พรก็ "ขอให้เงินทองไหลมาเทมา  มีเงินเต็มห้อง มีทองเต็มหีบ  หลับให้ได้เงินหมื่น  ตื่นให้ได้เงินแสน..."  ค่านิยมเหล่านี้ยังเห็นได้จากการตั้งชื่อคน  ชื่อหมาแมว  กระทั่งต้นไม้ดอกไม้  ก็พลอยมีชือเป็นเงินเป็นทองกันเพียบ

คนไทยนิยมคนรวย  ไม่ว่ายุคไหน ๆ  ก็ยังชอบอยู่  อันนี้มีเหตุผลเพราะเห็น ๆ กันอยู่ว่ารวยเสียอย่าง ทำอะไรก็ไม่ผิด  ถึงผิดก็บอกว่าไม่ผิด  แล้วเพื่อนพ้องน้องพี่ก็ประสานเสียงเห็นพ้องต้องกันว่า ไม่ผิดๆๆๆ

ค่านิยมอีกอย่างหนึ่ง  ที่เห็นชัดๆ ก็คือ  ชอบคนสวย หล่อ  เรียกว่า ภาพลักษณ์ดูดีเอาไว้ก่อน  ยิ่งผู้หญิง มีสำนวนที่ว่า นารีมีรูปเป็นทรัพย์  ซึ่งเดี๋ยวนี้  บุรุษก็พลอยมีรูปเป็นทรัพย์ไปด้วย  สรุปแล้ว ความสวยและหล่อ  ก็เป็นบันไดไปสู่ความรวยนั่นแหละ

ธุรกิจเสริมสวย  เสริมหล่อจึงเติบโตพรวดพราด  กวาดเงินกันไปเป็นกอบเป็นกำ  บรรดาคุณหมอมือเทวดาทั้งหลายก็ช่างเนรมิตให้ได้ดั่งใจ  พระเจ้าจะสร้างมาให้จมูกบี้ปากบานยังไง คุณหมอแก้ได้  จัดให้ใหม่  แบบไม่ต้องเกรงใจพระเจ้ากันแล้ว



ย้อนกลับไปมองสังคมไทยที่สะท้อนผ่านวรรณกรรม  วรรณคดีไทยที่เน้นค่านิยมความร่ำรวยสวยหล่อ  ที่เห็นชัด ๆ ก็อย่างเรื่องอิเหนา

อิเหนาเป็นลูกชายสุดหล่อของกษัตริย์วงศ์เทวัญ  แค่นี้ก็เหลือกินแล้ว  ถึงจะนิสัยไม่ดี  เจ้าเล่ห์  เห็นแก่ตัว  ไม่รับผิดชอบ ฯลฯ ก็ไม่มีปัญหา  ยังคงความเป็นพระเอกอยู่ได้จนจบ  เพราะหล่อ และรวย  

ตรงข้ามกับจรกา  ซึ่ง "รูปชั่วต่ำช้าทั้งศักดิ์ศรี ทรลักษณ์พิกลอินทรีย์  แลไหนไม่มีเจริญใจ"

จรกาจึงถูกดูหมิ่น  เยาะเย้ยถากถาง  ตั้งแต่สมัย ร.๒ มาจนถึงปัจจุบัน  ขนาดเอามาตั้งชื่อขนมเป็นจรกาลงสรง ก็คือถั่วดำต้มนำ้ตาล  มันน่าแค้นใจไหมล่ะ


อีกคนหนึ่งก็คือ ขุนแผน  ถึงจะไม่รวย  แต่ก็หล่อเหลือกิน  มิหนำซ้ำยังมีฝีมือ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว  ชนิดที่ว่า  ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล  ไม่ได้ด้วยมนตร์ก็เอาด้วยคาถา
ขุนแผนก็เลยอัพเกรด  จากมหาดเล็กโนเนม  กลายเป็นแม่ทัพ  และท้ายที่สุดก็มียศศักดิ์เป็นถึงเจ้าเมือง

ตรงข้ามกับขุนช้าง  ซึ่งรวยแต่รูปชั่วหัวล้าน  ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง  ไม่น่าให้อภัย  จึงต้องเป็นผู้ร้ายไปตามระเบียบ  ก็อยากไม่หล่อทำไมล่ะ



รสนิยมคนไทย  มีอะไรแปลก ๆ ที่อธิบายได้ยาก เป็นต้นว่า

คนไทย  ฟังนิทานประเภทสอนใจให้คติธรรมก็งั้้น ๆ ไม่โดนใจเหมือนฟังเรื่อง  ศรีธนญชัย ซึ่งกระล่อนชนิดมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก

ดูเรื่องรามเกียรติ์  แทนที่จะปลื้มพระราม  ซึ่งดูดีมีคุณธรรม  กลับไปเชียร์หนุมาน วานรสิบแปดมงกุฎ

เพราะฉะนั้น  ก็ไม่น่าแปลกใจกับรสนิยมของคนไทยทุกวันนี้  ที่บ้ากับแฟชั่นผมทรงหัวแหลมชี้ตรงกลางเหมือนหัวลิง  สักลายไปทั้งตัวเหมือนทายาทงูเหลือม  เจาะโน่นเจาะนี่สารพัดเจาะ  และอะไรต่อมิอะไร  ที่เห็นแล้ว ก็ยังสงสัยอยู่ว่า  มันสวยตรงไหนเนี่ย...


ยุคหนึ่งก็อยากเหมือนฝรั่ง ย้อมผมสีเหลืองสีแดงกันทั้งเมือง  แล้วต่อมาก็เห่อเกาหลี  อยากขาวๆๆ   แต่งตัวเหมือนเด็กสามขวบ  ทำท่าทางแอบแบ๊ว  เหมือนอายุสมองไม่พัฒนาตามอายุจริง   ดูแล้วก็ต้องถามอีกว่า  ทำกันไปได้ยังไงเนี่ย...

ก็ต้องทำใจว่ามันเป็นเรื่องของรสนิยม  และอย่างที่บอกตอนต้น พอนิยมกันมากๆ มันก็กลายเป็นค่านิยม  เป็นสิ่งที่คนในสังคมเห็นดีเห็นงามตามกันไป

ค่านิยมอยากสวย ทำให้คนดิ้นรนขวนขวายเพื่อจะสวย  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ของปลอม  แต่ก็ปลื้ม

ค่านิยมอยากรวย  ทำให้คนดิ้นรนอยากรวย  ไม่สนใจว่าจะรวยด้วยวิธีไหน  ขอให้รวยเป็นพอ

ไม่น่าแปลกใจหรอก  ที่ผลสำรวจพบว่า  คนไทยจำนวนมากยอมรับได้กับการทุจริตคอรัปชั่น  ถ้าตัวเองมีส่วนได้ด้วย

ก็เพราะค่านิยมสังคมไทยบ่มเพาะกันมาอย่างนี้

ขอให้สวย  ขอให้รวย  จะมีที่มาที่ไปอย่างไร...ไม่สำคัญ

แก้ยากนะ...เศรษฐกิจพอเพียง  ดีแค่ไหนก็โตได้ยากเย็น  เพราะมันสวนทางกับค่านิยม  หรือพูดให้ชัด ๆ ก็คือ กิเลส  ของคนนี่แหละ

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พิชัยสงคราม

พิชัยสงคราม




ในสมัยโบราณกาล  แต่ไม่นานถึงสมัยหิน  เอาเป็นว่า ตั้งแต่สมัยที่คนเริ่มมีอารยธรรม  มีการปกครอง  มีสงครามแย่งชิงอำนาจ ฯลฯ ก็มีการกล่าวถึงตำรับตำราว่าด้วยการรบ  

อินเดีย ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณ  รวมเรื่องของการรบไว้เป็นหนึ่งในศิลปศาสตร์สิบแปดประการที่บรรดาราชกุมาร  รวมทั้งผู้ที่เกิดในวรรณะกษัตริย์ทั้งหลายจะต้องเรียนรู้

ส่วนของจีน  ที่ขึ้นชื่อลือกระฉ่อนก็เห็นจะเป็นตำราว่าด้วยการทำสงคราม ของซุนวู  เจ้าของวาทะ  "รู้เขารู้เรา  รบร้อยครั้ง  ชนะร้อยครั้ง"

ชาติไทยกว่าจะถึงทุกวันนี้ก็ผ่านศึกสงคราม  มีศิลปะการต่อสู้ที่ตกทอดกันมาหลายต่อหลายอย่าง  ตำรับตำราว่าด้วยการรบจึงมีการสั่งสอนสืบทอดกันมาไม่ใช่น้อย  มิหนำซ้ำ  ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งกำลังสร้างเมืองใหม่  ก็โปรดฯ ให้ทั้งเขียนทั้งแปลวรรณคดีชาติอื่นๆ  ที่ว่าด้วยการศึกสงคราม  อย่างสามก๊ก  รามเกียรติ์  ราชาธิราช ฯลฯ   เป็นหนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับเสริมความรู้ทั้งบรรดาแม่ทัพนายกอง และพลเมืองที่อยู่หน้าศึกสงคราม  ให้ได้อ่านกันอีกด้วย

ซึ่งในวรรณคดีเหล่านี้  มีเรื่องกลศึกสลับซับซ้อน  โดยเฉพาะเรื่องสามก๊กซึงรบกันทั้งเรื่อง  จนมีคำกล่าวว่า ใครอ่านสามก๊กสามจบ...คบไม่ได้  เพราะจะซึมซับเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์  ไม่ถึงขนาดขงเบ้ง  ก็น้อง ๆ จิวยี่  แล้วยังอาจได้นิสัยขี้อิจฉา  บ้าอำนาจของโจโฉแถมมาอีกด้วย


ตำราว่าด้วยการรบ  รวมทั้งกลศึกสงครามทั้งหลายแหล่นี่แหละ  บรรดาขุนศึก  ขุนทหารบ้านเราก็ได้ร่ำเรียนกันมา  จนแต่ละคนก็ขยับใกล้ตัวละครในสามก๊ก ราชาธิราช ฯลฯ มีเคียวเจ็ดเล่ม มีเข็มเจ็ดอัน  ซ่อนอยู่ในท้องกํนเกือบทั้งนั้น

พฤติกรรม  รวมถึงคำพูดของบรรดาทหาร ตำรวจ ผู้เจนจบเรื่องยุทธวิธี  จึงซับซ้อนซ่อนเงื่อนงำอำพรางกันไปทุกเรื่องราว  ชนิดที่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ ต้องเตือนตัวเองไว้ตลอดเวลาว่า  สิ่งที่เห็น...ไม่ใช่สิ่งที่เป็น



ไม่แปลกหรอกที่บรรดานายทหารตำรวจจะต้องร่ำเรียนยุทธวิธีให้แตกฉาน

ก็เพราะหน้าที่ของเขาเหล่านัี้้น คือการทำศึกสงคราม

ทหารก็ต้องทำสงครามกับอริราชศัตรู  ปกป้องบ้านเมือง
ตำรวจก็ต้องรบกับโจร  ปกป้องสุจริตชน  คนเสียภาษี

ที่แปลกจนน่าตกใจ ก็คือ  ทั้งตำรวจ ทหารบ้านเรา  ที่ร่ำเรียนยุทธวิธี  พิชัยสงตรามกันมาจนแตกฉาน  กลับจำแนกไม่ออกว่าใครคือข้าศึกศัตรู

เราจึงเห็นทหารตำรวจจำนวนไม่น้อยเลย  ทำหน้าที่ปกป้องอริราชศัตรู  คบหาสมาคม สนิทสนมกับโจร

และหันมารบกับสุจริตชนคนเสียภาษี

ใครเป็นคนสั่งสอนนายตำรวจ ทหารพวกนี้  น่าจะต้องทบทวนวิธีการนำตำราพิชัยยุทธ์ไปใช้ด้วย  ทุกวันนี้มีแต่คนเอามาใช้ผิดที่  ผิดประเภท  ตำราดี ๆ จะกลายเป็นรหัสยลัทธิ  เหมือนที่วาชศรพ  พราหมณ์นอกรีตในเรื่องกามนิต  เอาคัมภีร์พระเวทมาสอนโจร