
กวีมีหลายประเภท สุนทรภู่ จัดว่าเป็นจินตกวี เพราะเป็นนักคิดนักฝัน เขียนเรื่องจากจินตนาการเป็นส่วนใหญ่ และจินตนาการของสุนทรภู่ก็ล้ำหน้า นำสมัยกว่าคนในยุคเดียวกัน
ความคิดฝันของสุนทรภู่ในยุคนั้น หลายอย่างเพิ่งมาปรากฏให้เห็นในยุคนี้ เป็นต้นว่า บรรดานางเอกที่ฉีกภาพนางในวรรณคดีงามเสงี่ยม มาเป็นนางเอกแสบซ่า หลากสไตล์ อย่างสุวรรณมาลี "มเหสีขี้หึงประหนึ่งเสือ" นางละเวงโฉมงามเจ้าเสน่ห์ที่ใช้สารพัดเล่ห์กลเพื่อชัยชนะ ไปถึงนางเอกรุ่นลูก อย่างเสาวคนธ์ที่เล่นหัวคลุกคลีกับสุดสาครมาแต่เด็ก จนเกือบจะกลายเป็นทอม...
แนวคิดที่น่าสนใจ นำสมัยล้ำยุคอีกอย่างหนึ่งก็คือการสร้างพระเอกให้เป็นเด็กกิฟเต็ททางดนตรี

โชคดีที่พระอภัยมณีเป็นลูกกษัตริย์ พอมีสมบัติติดตัว ก็เลยถอดแหวน จ่ายเป็นค่าเล่าเรียน
ร่ำเรียนจนจบแล้วนั่นแหละ พระอาจารย์ถึงได้เปิดใจให้เหตุผลว่าทำไมค่าเล่าเรียนถึงโหดนัก
"ซึ่งดนตรีตีค่าไว้ถึงแสน เพราะหวงแหนกำชับไว้คับขัน
ใช่ประสงค์ตรงทรัพย์สิ่งสุวรรณ จะป้องกันมิให้ไพร่ได้วิชา
ต่อกษัตริย์เศรษฐ๊มั่งมีทรัพย์ มาคำนับจึงได้ดังปรารถนา"
พระอาจารย์แกคงซึ้งกับ "ไพร่" เสียจนขยาด ไม่อยากถ่ายทอดวิชาอะไรที่ดีๆ ให้ เพราะกลัวไพร่เอาไปทำเสียหายหมด

นับว่ามีเหตุผลฟังได้ทีเดียว ติดอยู่นิดหนึ่งก็ตรงที่ว่า พระอาจารย์อาจจะคิดผิดว่าคนรวยแล้วจะไม่โกง เพราะความจริงที่เห็นทุกวันนี้ ยิ่งรวยก็ยิ่งโกง
วิชาทั้งหลายนั้น ก็เหมือนอาวุธ ใช้ดีก็มีคุณอนันต์ แต่ถ้าใช้ไม่ดีก็มีโทษมหันต์
เหมือนที่พระอภัยมณีบอกกับสามพราหมณ์ว่า
"อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
ทั้งมนุษย์ครุฑาเทวราช หมู่สัตว์จตุบาทในไพรสินฑ์
แม้ปี่เราเป่าไปใครได้ยิน ก็สุดสิ้นโมโหที่โกรธา"
เพลงปี่พระอภัยใครได้ยินก็หลงใหลใจอ่อน พระเอกเรื่องนี้ก็ชนะใจบรรดาสาว ๆ เพราะเสียงปี่ออดอ้อนราวกับพระเอกยี่เกอ้อนแม่ยก แม้แต่นางละเวงซึ่งตั้งใจมาล้างแค้น ก็ยังตกหลุมรักพระเอกศิลปิน

แต่เพลงปี่พระอภัยไม่ใช่แค่อ้อนให้คนหลง ในเวลาคับขันก็กลายเป็นเสียงปี่สังหาร ก็ตอนที่พระอภัยเป่าปีสังหารนางผีเสื้อสมุทรนั่นยังไง
ดีที่พระอภัยมีพื้นฐานไม่ต่ำช้า เลยใช้เฉพาะเมื่อเข้าตาจน ไม่ได้ใช้พร่ำเพรื่อไปทั้งเรื่อง ไม่อย่างนั้น เรื่องพระอภัยมณีจะกลายเป็นหนังกำลังภายใน ไม่พอใจใครก็งัดปี่ออกมาเป่าให้ตาย ๆ ไปให้หมด
คนที่ชอบดูหนังจีนประเภทกำลังภายใน จะเห็นว่า บรรดาปรมาจารย์ผู้เยี่ยมบุทธ์ทั้งหลายก็เหมือนอาจารย์พระอภัยนี่แหละ แต่ละคนล้วนหวงวิชา กว่าจะรับเป็นศิษย์ได้ก็ต้องตรวจสอบกันหลายยก คนที่จะได้เรียนสุดยอดวิชาทั้งหลายจึงต้องมีคุณสมบัติไม่ต่ำช้าเหมือนกัน ก็แล้วแต่ว่าสำนักไหนต้องการลูกศิษย์แบบไหน แต่ที่แน่ ๆ คือ ไม่ใช่อยากเรียนก็ เิดินเข้าไปเรียนเหมือนตลาดวิชา

ไม่เหมือนยุคปัจจุบันที่มีสารพัดวิชาให้เรียนได้อย่างเสรี แจกปริญญากันเป็นว่าเล่น คนดี คนต่ำช้า ก็เรียนวิชามาเหมือนกัน
เราจึงเห็นคนมีวิชาแต่ไร้คุณธรรม เกลื่อนเมือง
นั่งดูข่าวทุกวันนี้แล้วอัศจรรย์ใจ เออแน่ะ...ช่างสรรหาวิธีการมาคดโกง ทุจริตกันได้สารพัด ล้วนแต่คนเก่งกาจทั้งนั้น
เก่งเทคโนโลยี ก็สร้างนวัตกรรมไปใช้ก่ออาชญากรรม ทำลายล้างกันเป็นว่าเล่น
เก่งคอมฯ ก็หาวิธีพลิกแพลง ขโมยข้อมูล สร้างไวรัส ทำเว็บเลวร้ายได้ต่าง ๆ
เก่งธุรกิจ ก็พิฆาตฟาดฟัน เชือดเฉือนกันทางธุรกิจ แบบใครดีใครอยู่
ไม่ว่าเก่งอะไร อยู่ในวงการไหน โกงได้ทุกเรื่อง
ที่เก่งกาจน่าประทับใจที่สุดตอนนี้ น่าจะได้แก่นักกฏหมายเมืองไทย ที่ล้วนแต่เรียนจบจากสำนักชั้นยอดแต่นำวิชาความรู้มาใช้แบบวิปริตผิดประหลาดชนิดที่อาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาก็คงคิดไม่ถึง

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกลับผิดให้เป็นถูกไม่ได้ ก็แก้กฏหมายมันเสียเลย
สุดยอดวิทยายุทธ์จริงๆ !!!
นับเป็นการประยุกต์ใช้ความรู้ แบบไร้เทียมทาน...
นี่คือความผิดพลาดของการศึกษาไทย...อีกแล้ว แนวคิดเรื่อง การสอนความรู้คู่คุณธรรม เพิ่งมาคิดกันได้เมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง
ต่อเมื่อเรามีคนมีความรู้ แต่ไม่มีคุณธรรมเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด
แล้วมันจะทันการณ์ไหมเนี่ย...
นี่แหละ...เพราะไม่เคยอ่านเรื่องพระอภัยมณี หรืออ่านแล้วแต่ไม่รู้จักเก็บไปคิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น