
เช่นเดียวกับการยกย่องยกยอปอปั้นกันสุดฤทธิ์สุดเดช ก็กำลังจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาอีกเหมือนกัน
ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะคิดอะไรยังไง ก็สุดแต่วิจารณญาณของแต่ละคน
มีวรรณคดีเรื่องหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นมุมกลับของการโฆษณา คือแทนที่คนฟังจะพลอยหลงใหลได้ปลื้ม กลับหมั่นไส้เอาเสียอีก ก็คือเรื่อง กนกนคร

ซึ่งผลก็ปรากฏว่า ฤาษีตบะไม่แตก แต่พญากมลมิตร กับนางอนุสยินี ถูกสาปให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชดใช้ความอหังการ์เสียหนักหนาสาหัส
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะความขี้โอ่ขี้อวดของคุณสามีสุดที่รัก กับคุณภรรยาสุดเลิฟ
สังคมไทยแต่ดั้งเดิม ไม่นิยมคนขี้โอ่ขี้อวด อย่างในสุภาษิตโคลงโลกนิติก็เปรียบเทียบคนโอ้อวดว่า เหมือนแมลงป่อง "ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้างฤทธี"

"ยอครูยอต่อหน้า ยอข้าเมื่อแล้วกิจ ยอมิตรเมื่อลับหลัง"
อรรถาธิบายได้ว่า ถ้าจะยกย่องครู ซึ่งอาจไม่ได้หมายถึงแค่ครู แต่รวมความไปถึงบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ควรยกกันต่อหน้านั่นแหละ เพราะมีแต่ได้กับได้ ผู้ใหญ่ก็ย่อมปลื้ม เกิดความเมตตา ประเภท "เป็นผู้น้อยค่อยก้มประนมกร ชเลียร์ไว้ก่อนจะสบายเมือ่ปลายมือ" อะไรทำนองนั้น
ส่วนข้าคือคนรับใช้ ถ้าอยากชม ต้องรอให้ทำงานเสร็จ มีผลงานปรากฏเสียก่อน เพราะถ้าชมตั้งแต่งานยังไม่เสร็จ อาจเหลิงได้ใจ แถมงานออกมาไม่เอาไหน น่าเสียดายคำชม

ที่สำคัญคือ การชมลูกเมีย คนสนิทชิดใกล้ ยิ่งต้องระมัดระวัง สุภาษิตพระร่วงสอนว่า
"ลูกเมียยังอย่าสรรเสริญ เยียวสระเทินจะอดสู"
แปลว่า ลูกเมียตัวเองน่ะ จะปลื้มซะขนาดไหนก็เก็บไว้ปลื้มกันเอง อย่าเที่ยวไปสรรเสริญเยินยอยกย่องให้ใครเขาฟังว่าดียังงั้นเก่งอย่างนี้ สวยเหลิอเชื่อ ฉลาดเหลือรับประทาน เพราะคนขี้อิจฉา ขี้หมั่นไส้ก็มีอยู่มากมาย เขาฟังแล้วอาจไม่ปลื้มด้วย แถมอิจฉา หมั่นไส้ เหมือนในเรื่องกนกนครนั่นแหละ


นักจิตวิทยาออกมาบอกว่า ให้ขยันชมกันหน่อย จะได้มีกำลังใจ จะดีจริงไม่ดีจริงก็อย่าไปคิดอะไรมาก แค่คำชมไม่ได้ซื้อหามาแต่ไหน หรือประเภทรางวี่รางวัล พอให้กันได้ก็ให้กันไปให้ทั่ว ๆ ใครมีอะไรต้องอวดต้องโชว์ จะเก็บไว้แบบ "คนไม่เห็น เทวดาน่าจะเห็น" เอาเข้าจริง คนก็ไม่เห็น ส่วนเทวดาเห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้

ทำอะไรสักนิดสักหน่อย ก็ต้องป่าวประกาศให้ประชาชาติได้รับรู้ มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลงานกันเอิกเกริกทุกวงการ ตั้งแต่ระดับประเทศมาจนถึงรถเข็นขายเกี๊ยวบะหมี่ ก็ต้องโฆษณาสรรพคุณเอาไว้ก่อน จริงไม่จริงค่อยพิสูจน์กันทีหลัง

ไม่อย่างนั้น อาจจะหลงใหลได้ปลื้ม ว่าเมืองไทยเรานี้แสนดีหนักหนา เรามีรัฐบาลที่รักประชาชนมากมายเหลือเชื่อ มีบ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์ อีกหน่อยประเทศเราจะไม่มีคนจนอีกต่อไปแล้ว แต่จะเหลือคนดีสักกี่คนไม่แน่ใจ ไม่ว่าสินค้าอะไร สถานที่ไหน ๆ อะไร ๆ ก็ดูดีไปหมด
รวมทั้งการศึกษาไทย ก็ช่างก้าวหน้าสถาพร แต่ละสถาบันก็ยกป้ายประกาศศักดา ล้วนแต่ดีเด่น ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน น่าส่งลูกหลานไปเรียนมันเสียทุกแห่ง เรียนจบออกมาจะได้ดีเกินกว่าจะเป็นคน... อะไรทำนองนั้น
ก็คงไม่ต้องทำตัวเป็นคนขี้หมั่นไส้ใครต่อใคร เหมือนบรรดาเทวดาในกนกนคร
เอาเป็นว่า ถึงตอนนี้ คงต้องใช้วิชาคณิตศาสตร์ให้มาก ๆ หน่อย ฟังเขาว่า ก็หารสักห้าสิบ
เหลือแค่ไหน ก็คงแค่นั้นแหละ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น