ในสมัยโบราณกาล แต่ไม่นานถึงสมัยหิน เอาเป็นว่า ตั้งแต่สมัยที่คนเริ่มมีอารยธรรม มีการปกครอง มีสงครามแย่งชิงอำนาจ ฯลฯ ก็มีการกล่าวถึงตำรับตำราว่าด้วยการรบ

ส่วนของจีน ที่ขึ้นชื่อลือกระฉ่อนก็เห็นจะเป็นตำราว่าด้วยการทำสงคราม ของซุนวู เจ้าของวาทะ "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง"
ชาติไทยกว่าจะถึงทุกวันนี้ก็ผ่านศึกสงคราม มีศิลปะการต่อสู้ที่ตกทอดกันมาหลายต่อหลายอย่าง ตำรับตำราว่าด้วยการรบจึงมีการสั่งสอนสืบทอดกันมาไม่ใช่น้อย มิหนำซ้ำ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งกำลังสร้างเมืองใหม่ ก็โปรดฯ ให้ทั้งเขียนทั้งแปลวรรณคดีชาติอื่นๆ ที่ว่าด้วยการศึกสงคราม อย่างสามก๊ก รามเกียรติ์ ราชาธิราช ฯลฯ เป็นหนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับเสริมความรู้ทั้งบรรดาแม่ทัพนายกอง และพลเมืองที่อยู่หน้าศึกสงคราม ให้ได้อ่านกันอีกด้วย

ตำราว่าด้วยการรบ รวมทั้งกลศึกสงครามทั้งหลายแหล่นี่แหละ บรรดาขุนศึก ขุนทหารบ้านเราก็ได้ร่ำเรียนกันมา จนแต่ละคนก็ขยับใกล้ตัวละครในสามก๊ก ราชาธิราช ฯลฯ มีเคียวเจ็ดเล่ม มีเข็มเจ็ดอัน ซ่อนอยู่ในท้องกํนเกือบทั้งนั้น
พฤติกรรม รวมถึงคำพูดของบรรดาทหาร ตำรวจ ผู้เจนจบเรื่องยุทธวิธี จึงซับซ้อนซ่อนเงื่อนงำอำพรางกันไปทุกเรื่องราว ชนิดที่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ ต้องเตือนตัวเองไว้ตลอดเวลาว่า สิ่งที่เห็น...ไม่ใช่สิ่งที่เป็น

ไม่แปลกหรอกที่บรรดานายทหารตำรวจจะต้องร่ำเรียนยุทธวิธีให้แตกฉาน
ก็เพราะหน้าที่ของเขาเหล่านัี้้น คือการทำศึกสงคราม
ทหารก็ต้องทำสงครามกับอริราชศัตรู ปกป้องบ้านเมือง
ตำรวจก็ต้องรบกับโจร ปกป้องสุจริตชน คนเสียภาษี
ที่แปลกจนน่าตกใจ ก็คือ ทั้งตำรวจ ทหารบ้านเรา ที่ร่ำเรียนยุทธวิธี พิชัยสงตรามกันมาจนแตกฉาน กลับจำแนกไม่ออกว่าใครคือข้าศึกศัตรู
เราจึงเห็นทหารตำรวจจำนวนไม่น้อยเลย ทำหน้าที่ปกป้องอริราชศัตรู คบหาสมาคม สนิทสนมกับโจร
และหันมารบกับสุจริตชนคนเสียภาษี
ใครเป็นคนสั่งสอนนายตำรวจ ทหารพวกนี้ น่าจะต้องทบทวนวิธีการนำตำราพิชัยยุทธ์ไปใช้ด้วย ทุกวันนี้มีแต่คนเอามาใช้ผิดที่ ผิดประเภท ตำราดี ๆ จะกลายเป็นรหัสยลัทธิ เหมือนที่วาชศรพ พราหมณ์นอกรีตในเรื่องกามนิต เอาคัมภีร์พระเวทมาสอนโจร
เขาหล่านั้นศึกษาแต่วิธีทำสงคราม การช่วงชิงเอาชัยชนะ
ตอบลบไม่ศึกษาคุณธรรม จริยธรรม และศาสตร์แขนงอื่น ๆ ที่ช่วยจรรโลงสังคม
ปัญหาจึงเกิดไม่รู้จักหยุดหย่อน
และทวีความรุนแรง ตามอำนาจในมือที่พวกเขาถืออยู่ครับ